tag:blogger.com,1999:blog-81140854941407728432024-03-13T02:36:26.884-07:00มุมความรู้ของครูปฐมวัยsuarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.comBlogger47125tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-77991892611523608832011-02-01T04:13:00.000-08:002011-02-01T04:13:44.790-08:00ทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็กทำไมลูกยังเขียนไม่ได้<br />
<br />
การเขียนไม่ใช่ว่าแค่สอนให้เด็กจับดินสอเขียนอย่างเดียวแล้วจะเขียนได้เลย การที่เด็กเขียนไม่ได้นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับทักษะใดทักษะหนึ่งเท่านั้น หากแต่มันมีทักษะที่ส่งเสริมซึ่งกันและกันประกอบกันอยู่ซึ่งแยกออกจากกันไม่ได้ <br />
<br />
<span class="hitbB"><strong><span style="color: #000099; font-size: x-small;"><span style="color: black;">พัฒนาการด้านการเขียน</span> </span></strong></span><br />
<br />
<table border="1" cellpadding="4" cellspacing="0"><tbody>
<tr><td align="center" valign="middle" width="115"><strong>อายุ</strong> </td><td align="center" valign="middle" width="453"><div align="center"><strong>ความสามารถ</strong> </div></td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">10-12 เดือน </td><td valign="top" width="453">ขีดเขียนเส้นขยุกขยิก </td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">1-2 ปี </td><td valign="top" width="453">พัฒนาจากเส้นขยุกขยิกเป็นการเลียนแบบเส้นแนวตั้ง เส้นแนวนอน (ให้ดูในขณะวาดแล้วให้วาดตาม) </td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">2-3 ปี </td><td valign="top" width="453">ลอกแบบเส้นแนวตั้ง เส้นแนวนอน (ไม่ต้องให้ดูในขณะวาด) </td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">3 ปี </td><td valign="top" width="453">ลอกแบบรูปวงกลม </td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">3-4 ปี </td><td valign="top" width="453">ลอกแบบเครื่องหมายบวกและกากบาท </td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">4-5 ปี </td><td valign="top" width="453">ลอกแบบเส้นเฉียงและสี่เหลี่ยมจัตุรัส </td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">5-6 ปี </td><td valign="top" width="453">ลอกแบบรูปสามเหลี่ยม,สี่เหลี่ยมผืนผ้า,สี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน,ลอกชื่อตัวเอง(เขียนตัวใหญ่ขนาด 1.5-5 ซม.) </td></tr>
<tr><td valign="top" width="115">6-7 ปี </td><td valign="top" width="453">ลอกแบบตัวอักษร,ตัวเลข (เขียนตัวหนังสือได้ในขนาดปกติ 0.5 ซม.) </td></tr>
</tbody></table><br />
<br />
<span class="hitbB"><u><strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: black;">ทักษะที่จำเป็น<span class="style20">ก่อน</span>เด็กเริ่มเขียน</span></span></strong></u></span> <br />
<ul type="disc"><li><strong class="hitbG"><span style="color: black;">ความสามารถในการทำงานข้ามแนวกลางลำตัว ...</span></strong><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%202.htm"><span style="color: black;"><strong>คือ </strong><strong>?</strong></span></a><span style="color: black;"> </span></li>
</ul>ความสามารถในการข้ามแนวกลางลำตัวของร่างกายเป็นพัฒนาการขั้นพื้นฐานของสมองที่เป็นการประสานสัมพันธ์กันภายในสมอง และเป็นการทำงานร่วมกันระหว่างสมองทั้งสองซีก ซึ่งสมองแต่ละซีกจะทำหน้าที่ควบคุมต่างกันแต่จะทำงานร่วมกันเมื่อมีการทำกิจกรรมที่เป็นการเคลื่อนไหวของร่างกายในแนวข้ามลำตัว ดังนั้นทักษะนี้จึงจะต้องเกิดขึ้นก่อนเพื่อที่จะพัฒนาสหสัมพันธ์ระหว่างตากับมือและการรับรู้ทางสายตาซึ่งสำคัญกับการอ่านออกเขียนได้ของเด็ก <br />
<ul type="disc"><li><strong class="hitbG"><span style="color: black;">ความสามารถในการใช้มือทั้งสองข้าง ...</span></strong><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%203.htm"><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;">คือ</span></strong><strong>? </strong></span></a></li>
</ul>ทักษะการทำงานของมือทั้งสองข้างเป็นความสามารถในการใช้มือสองข้างทำงานร่วมกันให้สำเร็จ มือหนึ่งเป็นผู้นำอีกมือหนึ่งเป็นผู้ช่วย การพัฒนาของมือข้างที่ถนัด สังเกตได้จากการที่ชอบใช้มือข้างไหนมากกว่า ตัวอย่างของกิจกรรมที่แสดงถึงการใช้ทักษะนี้ คือ <br />
<ul type="disc"><li>การถือกระดาษในมือข้างที่ไม่ถนัดและใช้มือข้างที่ถนัดจับดินสอเขียน </li>
<li>การถือกระดาษในมือข้างที่ไม่ถนัดและใช้มือข้างที่ถนัดจับกรรไกรตัด </li>
</ul><ul type="disc"><li><strong class="hitbG"><span style="color: black;">ความเข้าใจเกี่ยวกับทิศทาง ...</span></strong><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%208.htm"><span style="color: black;"><strong>คือ</strong><strong>? </strong></span></a></li>
</ul>การเรียนรู้เรื่องทิศทางเป็นสิ่งสำคัญและมีอยู่ในรูปแบบของการศึกษา ความเข้าใจของคำว่าทิศทางกลายเป็นสิ่งสำคัญในการเขียนซึ่งไม่ว่าจะขณะอ่านหรือเขียนเด็กจะต้องเริ่มต้นจากทางซ้ายของกระดาษไปทางขวาของกระดาษ <br />
<ul type="disc"><li><strong class="hitbG"><span style="color: black;">ความสามารถในการจำแนกรูปแบบที่เหมือนและแตกต่าง ...</span></strong><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%204.htm"><span style="color: black;"><strong><span style="color: black;">คือ</span></strong><strong>? </strong></span></a></li>
</ul>การแยกแยะความเหมือน ความแตกต่างของสิ่งของหรือรูปภาพ ซึ่งจะสัมพันธ์กับการรับรู้ เกี่ยวกับตำแหน่งและทิศทาง ของวัตถุ (ภาพหรือสิ่งของ) <br />
<ul type="disc"><li><strong class="hitbG"><span style="color: black;">มือข้างที่ถนัด ...</span></strong><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%205.htm"><span style="color: black;"><strong>คือ</strong><strong>? </strong></span></a></li>
</ul><span style="color: black;"><span class="style21"><strong>มือข้างที่ถนัด</strong><strong> </strong></span></span>นิสัยโดยธรรมชาติของมนุษย์ที่ชอบใช้มือข้างหนึ่งมากกว่ามืออีกข้างหนึ่ง ซึ่งเป็นการประสานสัมพันธ์ของกล้ามเนื้อมัดเล็กภายในมือที่จะต้องควบคุมเครื่องมือการเขียนให้เหมาะสม มือข้างที่ถนัดจะพัฒนาทักษะและความแม่นยำในการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็ก ในขณะที่มือข้างที่ไม่ถนัดจะคอยประคองและช่วยขณะทำงาน มือข้างที่ถนัดควรจะถูกกำหนดก่อนที่เด็กจะเริ่มเขียน ครูควรจะให้โอกาสเด็กได้สำรวจมือข้างที่ชอบมากกว่า เด็กจะต้องมีการพัฒนาของกล้ามเนื้อมัดเล็กเพื่อช่วยให้เกิดทักษะการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กที่ดี <br />
<strong><br />
<span class="style21"><span style="color: black;">ความถนัดมือซ้าย</span></span></strong><span class="style21"><span style="color: #3399fe;"> <strong> </strong></span></span><strong> </strong> <br />
พัฒนาการของมือข้างที่ถนัดเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพัฒนาการของเด็ก 10% ของประชากรในขณะนี้ถนัดมือซ้าย มีงานวิจัยเสนอแนะว่าครูควรจะแนะนำการทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการทำงานของกล้ามเนื้อมัดเล็กและสังเกตมือข้างที่ถนัดของเด็ก เมื่อเขียนบนพื้นราบหรือตามแนวขวาง เด็กที่ถนัดซ้ายควรจะมีการหมุนกระดาษมุมซ้ายด้านบนขึ้นสูงกว่าและใช้มือข้างที่ไม่ถนัดจับกระดาษไว้แทน การทำแบบนี้จะช่วยให้คนที่เขียนข้างซ้ายรักษาท่าทางของข้อมือให้อยู่ในแนวตรงซึ่งจะเป็นการยับยั้งการเขียนในท่างอข้อมือ <br />
<ul type="disc"><li><span class="hitbG"><span style="color: black;"><strong>ท่าทางการจับดินสอ</strong> ..</span></span><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%206.htm"><strong><span style="color: black;">.คือ? </span></strong></a></li>
</ul><span style="color: black;"><span class="style21"><strong>ท่าทางการจับดินสอ</strong> </span></span>ก่อนที่เด็กจะสามารถจับและควบคุมเครื่องเขียนได้นั้น เด็กจะต้องมีสหสัมพันธ์ของการเคลื่อนไหวที่ดีและมีการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กภายในมือที่ดี <br />
เด็กจะเริ่มต้นการจับดินสอแบบกำทั้งมือ ซึ่งจะช่วยให้มีกำลังมาก เมื่อใช้การกำเด็กจะใช้ไหล่ในการเคลื่อนไหว การจับดินสอที่ผิดจะทำให้การเขียนไม่มีประสิทธิภาพเพราะเด็กจะใช้แรงมากในการจับเป็นเหตุให้มือและแขนจะล้าง่าย <br />
เมื่ออายุ 4 ปี เด็กจะเริ่มวางนิ้วมือบนดินสอในทิศทางที่แตกต่างกัน จนกระทั่งมีการพัฒนาไปสู่การจับดินสอที่ดีขึ้น การจับดินสอที่มีประสิทธิภาพที่สุดเรียกว่า “ การจับ 3 นิ้ว” (Tripod grasp ) การจับในลักษณะนี้ประกอบด้วย <br />
<ul type="disc"><li>เด็กถือดินสอไว้ด้วย 3 นิ้ว คือนิ้วกลาง นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ </li>
<li>ดินสอจะอยู่บนข้อนิ้วกลาง ขณะที่จะถูกบีบอยู่ระหว่างนิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ </li>
<li>นิ้วก้อยและนิ้วนางจะวางพักอยู่บนโต๊ะ </li>
</ul>การจับในลักษณะนี้มีประสิทธิภาพเพราะ ใช้แรงในการเขียนน้อยซึ่งทำให้มือไม่ล้าง่ายและทำให้มีการเคลื่อนไหวที่สะดวก <br />
<strong><br />
<span class="style21"><span style="color: black;">รูปแบบของการจับดินสอ</span></span></strong><span style="color: black;"> </span><br />
<br />
<img border="0" height="150" src="http://www.karn.tv/c_article/alc_a_008/alc_a_008_clip_image001.gif" width="200" /><br />
<br />
Supinate grasp (Fist grasp ) คือ การกำดินสอไว้ทั้งมือ การกำในลักษณะนี้จะพบในเด็กที่ยังไม่เข้าโรงเรียน <br />
<br />
<img border="0" height="150" src="http://www.karn.tv/c_article/alc_a_008/alc_a_008_clip_image002.gif" width="200" /><br />
<br />
Pronate grasp (Digital pronate ) คือ แบบฉบับที่ต่อมาจาก supinate grasp เป็นการคว่ำฝ่ามือลงซึ่งนิ้วจะงออยู่รอบดินสอและนิ้วชี้ ชี้ไปข้างหน้า <br />
<br />
<img border="0" height="150" src="http://www.karn.tv/c_article/alc_a_008/alc_a_008_clip_image003.gif" width="200" /><br />
<br />
Dynamic tripod (Digital tripod ) คือ การจับในลักษณะสามนิ้ว การจับในลักษณะนี้ตามปกติสัณนิษฐานว่าจะพบตอนอายุ 7 ขวบ ซึ่งอายุประมาณนี้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ นิ้วกลาง ได้เจริญเติบโตเต็มที่แล้วที่จะจับแบบสามนิ้วได้ <br />
<br />
<img border="0" height="150" src="http://www.karn.tv/c_article/alc_a_008/alc_a_008_clip_image004.gif" width="200" /> <img border="0" height="150" src="http://www.karn.tv/c_article/alc_a_008/alc_a_008_clip_image005.gif" width="200" /><br />
<strong><br />
<span class="style20"><span style="color: black;">ท่าทางในการจับดินสอที่ผิด</span></span></strong><span style="color: black;"> </span><br />
<ul type="disc"><li><strong class="hitbG"><span style="color: #009900;"><span style="color: black;">ความสามารถในการลอกแบบของเส้นและรูปทรง</span> ...</span></strong><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%207.htm"><span style="color: black;"><strong>คือ</strong><strong>?</strong></span></a> </li>
</ul>เมื่อเด็กเริ่มมีการพัฒนาของสหสัมพันธ์ระหว่างตากับมือและการจับดินสอ พวกเขาจะเริ่มใช้ทักษะนี้ในการเขียนแบบขีดไปขีดมา จนในที่สุดการขีดไปมาของเด็กจะรวมอยู่ในเส้นพื้นฐานที่ประกอบกันเป็นรูปทรงและรูปภาพ ก่อนที่จะได้รับการสอนตามรูปแบบเด็กจะต้องลากเส้นพื้นฐานได้ป็นอย่างดี มีทิศทางที่เหมาะสม ตัวอย่างของเส้นพื้นฐาน คือ <br />
<ul type="disc"><li>เส้นแนวตั้ง </li>
<li>เส้นแนวนอน </li>
<li>เส้นเฉียง </li>
</ul><ul type="disc"><li><img border="0" height="26" src="http://www.karn.tv/c_article/alc_a_008/alc_a_008_clip_image006.gif" width="26" />วงกลม </li>
<li><img border="0" height="14" src="http://www.karn.tv/c_article/alc_a_008/alc_a_008_clip_image007.gif" width="50" />เส้นโค้ง </li>
</ul><div class="hitbB"><u>ทักษะที่จำเป็น<span style="color: black;"><span class="style20">เมื่อ</span>เ็ด็ก</span>เริ่มเขียน...</u> </div><ul type="disc"><li><span class="hitbG"><span style="color: black;"><strong>ทักษะการเคลื่อนไหวประสานกับการมองเห็นและการควบคุมการเคลื่อนไหวประสานกับการมองเห็น ( Visual Motor Skills and Visual Motor Control )</strong> ...</span></span><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%209.htm"><strong><span style="color: black;">คือ ?</span></strong></a><span style="color: black;"> </span></li>
</ul><span style="color: black;">ทักษะการเคลื่อนไหวประสานกับการมองเห็น ( Visual Motor Skills ) คือ </span><br />
<ul type="disc"><li>ความสามารถในการลอกรูปทรง,ตัวหนังสือหรือตัวเลขโดยใช้การมองเห็น </li>
<li>ความสามารถในการจำแนกตัวหนังสือกับตัวเลข </li>
<li>ความสามารถในการเขียนตัวหนังสือหรือตัวเลขให้อยู่ในเส้นบรรทัด </li>
</ul>การควบคุมการเคลื่อนไหวประสานกับการมองเห็น ( Visual Motor Control ) คือ ความสามารถด้านสหสัมพันธ์ของตา,แขนและมือ เช่น การลากเส้นหรือระบายสีให้อยู่ในรูปภาพ <br />
<ul type="disc"><li><span class="hitbG"><span style="color: black;"><strong>การรับรู้ทางสายตา ( Visual Perception )</strong> ...</span></span><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%2010.htm"><strong><span style="color: black;"><span style="color: black;">คือ ?</span> </span></strong></a></li>
</ul>หมายถึง ความสามารถในการแปลผลข้อมูลและรู้ความหมายของสิ่งที่เห็น เด็กจะต้องมีความสามารถในการจดจำตัวหนังสือและแยกแยะตัวหนังสือที่คล้ายกัน เช่น ด กับ ค หรือ ถ กับ ภ <br />
การรับรู้ทางสายตาแบ่งออกเป็นด้านต่างๆ ดังนี้ <br />
<ul type="disc"><li>สหสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ ( Eye-hand coordination ) คือ สหสัมพันธ์ของการใช้กล้ามเนื้อมือและตา เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านนี้จะส่งผลต่อการเขียนโดยเด็กจะเขียนตัวเล็กหรือใหญ่เกินเส้นบรรทัด </li>
<li>การแยกภาพออกจากพื้น ( Figure-Ground Discrimination ) คือ ความสามารถในการแยกแยะวัตถุหรือรูปทรงออกจากพื้นของรูป เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านนี้จะส่งผลต่อการเขียนโดยเด็กจะไม่สามารถจดจำคำที่เขียนได้ </li>
<li>ความคงที่ของวัตถุ ( Form Constancy ) คือ ความสามารถในการรับรู้รูปทรงที่มีความแตกต่างกันด้าน ขนาด แสงเงา พื้นผิว และทิศทางการจัดวางรูป เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านนี้จะส่งผลต่อการเขียนโดยเด็กไม่สามารถจำตัวหนังสือที่เขียนในขนาดหรือสีที่ต่างกัน </li>
<li>ตำแหน่งในที่ว่าง ( Position in Space ) คือ ความสามารถในการรับรู้ตำแหน่ง ทิศทางของภาพที่เหมือนหรือต่างกัน เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านนี้จะส่งผลต่อการเขียนโดยเด็กจะเขียนตัวหนังสือกลับด้าน </li>
<li>มิติสัมพันธ์ ( Spatial Relations ) คือ ความสามารถในการรับรู้ตำแหน่งของร่างกายสัมพันธ์กับที่ว่างและสามารถที่จะรับรู้ตำแหน่งของวัตถุสัมพันธ์กับตนเองหรือสัมพันธ์กับวัตถุอื่น เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านนี้จะส่งผลต่อการเขียนโดยเด็กจะมีปัญหาในการเรียงลำดับตัวอักษรในคำต่างๆ </li>
<li>การเติมเต็มของภาพที่ขาดหายไป ( Visual Closure ) คือ ความสามารถในการบอกว่ารูปทรงหรือรูบภาพนั้นเป็นอะไรเมื่อมองเห็นรูปภาพที่ไม่สมบูรณ์ของมัน เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านนี้จะส่งผลโดยเด็กจะไม่สามารถเติมเต็มตัวอักษรหรือคำที่ขาดหายไปบางส่วนได้ </li>
<li>ความจำทางสายตา ( Visual Memory ) คือ ความสามารถในการจำลักษณะเด่นของรูปภาพหรือสิ่งหนึ่งๆหรือสามารถจำการเรียงลำดับของรูปภาพหรือสิ่งหนึ่งที่มากกว่าหนึ่งตัวขึ้นไป เด็กที่มีความบกพร่องทางด้านนี้จะส่งผลโดยเด็กจะไม่สามารถจดจำคำหรือตัวอักษรได้ </li>
</ul><ul type="disc"><li><span class="hitbG"><span style="color: black;"><strong>ทักษะการเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อมัดเล็ก ( Fine Motor Skills )</strong> ...</span></span><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%2011.htm"><strong><span style="color: black;">คือ ? </span></strong></a></li>
</ul>เด็กที่มีความบกพร่องในด้านการทำงานกล้ามเนื้อมัดเล็กจะมีความยากลำบากในการติดกระดุมหรือดีดนิ้ว,จับดินสอไม่ถูก(จับในท่ากำทั้งมือ) และขาดความสามารถในการทำงานที่ละเอียด เช่น การร้อยลูกปัดหรือการต่อเลโก้ <br />
<ul type="disc"><li><span class="hitbG"><span style="color: black;"><strong>การควบคุมการทรงท่าของลำตัว ( Trunk Control )</strong> ...</span></span><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%2012.htm"><strong><span style="color: black;">คือ ?</span></strong></a><span style="color: black;"> </span></li>
</ul><span style="color: black;">หมายถึง ความแข็งแรงและความมั่นคงของลำตัว แบ่งออกเป็น 2 ด้าน</span> ดังนี้ <br />
<ul type="disc"><li>Posture and Balance คือ การทรงท่าและการทรงตัว เด็กจะต้องนั่งตัวตรง ศีรษะตั้งตรงบนเก้าอี้ โดยไม่มีการประคองด้วยแขน ถ้าเด็กใช้แขนในการนั่งจะทำให้การจับดินสอไม่มีประสิทธิภาพ </li>
<li>Upper Extremity Control คือ การควบคุมการทำงานตั้งแต่ไหล่ถึงนิ้วมือให้เคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำทั้งในเรื่องของทิศทาง ระยะทางและการกะแรง เช่น การออกแรงในการดึงเชือกลากของ กับการดึงทิชชู่ </li>
</ul><div class="style21">จะรู้ได้อย่างไรว่า..... เด็กมีปัญหาด้านการควบคุมการทรงท่าของลำตัว <br />
สังเกตได้จากในระหว่างที่เด็กระบายสีหรือเขียน ตัวเด็กหรือแขนจะค่อยๆเอียงหรือเอนพิงโต๊ะ หรือเอาหัวนอนบนมือ </div><ul type="disc"><li><span class="hitbG"><span style="color: black;"><strong>ความมั่นคงของข้อไหล่ ( Shoulder Stability )</strong> ...</span></span><a href="http://www.iamsmartkids.com/Knowledge%20WT/Knowledge%20WT%2013.htm"><strong><span style="color: black;">คือ ?</span></strong></a> </li>
</ul>หมายถึง การทำงานพร้อมกันของกล้ามเนื้อต่างๆรอบไหล่ เพื่อพยุงให้ข้อต่อมั่นคง เมื่อมีการเขียนมันจะทำงานอย่างช้าๆเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของไหล่ ถ้าเด็กมีความบกพร่องด้านนี้จะทำให้ไม่สามารถควบคุมข้อต่อให้มั่นคงได้ ถ้าข้อต่อนี้หลวมการควบคุมกล้ามเนื้อมัดเล็กในการเขียนก็จะเป็นไปได้ยากซึ่งย่อมส่งผลกระทบกับทักษะการเขียนอย่างแน่นอน <br />
<strong><em>ถ้าไม่มีทักษะเหล่านี้เด็กก็ไม่พร้อมที่จะเขียน</em></strong><strong></strong><strong><em>เราควรช่วยส่งเสริมทักษะพื้นฐานนี้ได้อย่างไร</em></strong><strong><em>....</em></strong> <br />
<strong><br />
<span class="hitbB"><span style="color: black; font-size: x-small;">กิจกรรมเพื่อพัฒนากล้ามเนื้อมัดเล็ก</span></span></strong><span style="color: black;"> </span><strong><br />
<span class="hitbG"><span style="color: black;">กิจกรรมกล้ามเนื้อมัดเล็ก (</span></span></strong><span class="hitbG"><strong><span style="color: black;"> Fine Motor Activities ) </span></strong></span><br />
<ul type="disc"><li>ม้วนและกลิ้งแป้งโดเป็นบอลโดยใช้ฝ่ามือและงอนิ้วมือเล็กน้อย </li>
<li>กลิ้งลูกบอลให้เป็นลูกบอลจิ๋วโดยใช้ปลายนิ้ว </li>
<li>ใช้หมุดหรือไม้จิ้มฟันในการเล่นกับแป้งโด เช่น ปั้นแป้งเป็นลูกชิ้นแล้วเอาไม้จิ้มฟันเสียบเป็นไม้ลูกชิ้น </li>
<li>ตัดแป้งโดด้วยมีดพลาสติดหรือที่ตัดพิซซ่าโดยจับในท่าจับมีดหั่นเนื้อ </li>
<li>ฉีกหนังสือพิมพ์ให้เป็นชิ้นยาวๆและขยำให้เป็นลูกบอล </li>
<li>ขยำกระดาษหนังสือพิมพ์หนึ่งหน้าด้วยมือเดียวซึ่งจะเป็นการเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อมือ </li>
<li>ใช้สเปรย์ฉีดน้ำผสมสี ฉีดไปบนภาพวาดเพื่อระบายสี </li>
<li>ใช้คีมหนีบขนาดใหญ่ หนีบเก็บของ เช่น คีบถั่ว คีบเหรียญ คีบลูกบาศก์ </li>
<li>ประกบมือสองข้างแล้วเขย่าลูกเต๋าที่อยู่ในมือ </li>
<li>กิจกรรมการร้อยและการเย็บ เช่น ร้อยลูกปัด ร้อยมักกะโรนี </li>
<li>ใช้ที่หยอดตา ดูดน้ำผสมสีแล้วหยดใส่กระดาษให้เป็นภาพ </li>
<li>เล่นพลิกการ์ด,เหรียญ,หมากฮอสหรือกระดุม โดยห้ามลากมาที่ขอบโต๊ะแล้วพลิก </li>
<li>เล่นหุ่นนิ้วมือ ใส่ที่นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้และนิ้วกลาง สมมติให้หุ่นเล่าเรื่องคุยกันหรือร้องเพลง </li>
</ul><div class="hitbG"><strong>กิจกรรมตัดด้วยกรรไกร ( Scissor Activities ) </strong></div><ul type="disc"><li>ตัดจดหมายที่ไม่ใช้แล้ว,ตัดกระดาษนิตยสารทำเป็นการ์ด </li>
<li>ตัดแป้งโดด้วยกรรไกร </li>
<li>ตัดหลอดหรือกระดาษเป็นชิ้นเล็กๆ </li>
</ul><span style="color: black;"><span class="hitbG"><strong>กิจกรรมกระตุ้นการรับความรู้สึก ( Sensory Activities )</strong></span><strong> </strong></span><br />
<ul type="disc"><li><span style="color: black;">เดินท่าปู (นั่งบนพื้น เอามือวางบนพื้นไว้ข้างหลังแล้วยก</span>ก้นขึ้น),เล่นไถนา </li>
<li>เล่นเกมตบมือทั้งแบบมีเสียงและไม่มีเสียง หรือตบมือสลับกับตบเข่าด้วย </li>
<li>เล่นไล่ตบฟองสบู่โดยใช้มือสองข้างตบเข้าหากัน </li>
<li>ดึงดินน้ำมันออกด้วยนิ้วต่างๆกับนิ้วหัวแม่มือ ดึงทีละสองนิ้ว </li>
<li>วาดรูปบนทรายเปียก,เกลือ,ข้าวสาร หรือผสมแป้งข้าวโพดกับน้ำให้มีความหนืดคล้ายกับยาสีฟัน ลากมือไปบนแป้งที่ผสมแล้วซึ่งจะเป็นการส่งความรู้สึกกลับไปที่กล้ามเนื้อและข้อต่อด้วย </li>
<li>หยิบของชิ้นเล็กๆ เช่น หมุด,เหรียญ หรืออื่นๆออกจากถาดเกลือ,ทราย,ข้าวสารหรือดินน้ำมัน หรือหยิบออกขณะปิดตาจะเป็นการช่วยพัฒนาในด้านการรับรู้ที่มือ </li>
</ul><div class="hitbG"><strong>กิจกรรมข้ามแนวกลางลำตัว ( Midline Crossing )</strong></div><ul type="disc"><li>ส่งเสริมการเอื้อมข้ามแนวกลางลำตัวของมือแต่ละข้าง เช่น หยิบบล็อคจากซ้ายมือไปใส่กล่องทางขวามือ </li>
</ul><ul type="disc"><li>เลิกห้ามเด็กใช้มือซ้ายในการทำกิจกรรมถ้าเด็กถนัดมือซ้าย ส่งเสริมให้ทำกิจกรรมในแนวกลางลำตัวแล้วให้เด็กเลือกที่จะใช้มือเอง </li>
<li>เริ่มสอนเด็กให้รู้จักซ้ายขวาผ่านการเล่น เช่น เตะบอลด้วยขาขวาหรือซ้าย,เลียนแบบท่าทางคล้ายเกมไซม่อมเซย์ บอกคำสั่งให้มีการเคลื่อนไหวข้ามลำตัว </li>
<li>ระบายสีภาพที่วางบนขาตั้งภาพ ให้เด็กระบายเป็นเส้นต่อเนื่องข้ามหน้ากระดาษและระบายในแนวเฉียงจากบนลงล่าง </li>
</ul><strong><span style="color: black;"><span style="font-size: x-small;"><span class="hitbB"><u>กิจกรรมเพื่อพัฒนาทักษะการเขียน</u> </span><br />
</span><span class="hitbG">กิจกรรมส่งเสริมความมั่นคงของร่างกาย ( Body Stability )</span> </span></strong><br />
<ul type="disc"><li><span style="color: black;">กิจกรรมไถนา,เดินปู,กิจกรรมผลัก ดัน </span></li>
<li>เล่นของเล่นต่างๆ เช่น ดินน้ำมันอ่อนๆและเล่นปีนป่าย ไต่ </li>
</ul><div class="hitbG"><strong>กิจกรรมส่งเสริมทักษะกล้ามเนื้อมัดเล็ก ( Fine Motor Skills ) </strong></div><ul type="disc"><li>ติดกระดาษวาดเขียนแผ่นใหญ่ไว้บนผนังให้เด็กใช้ปากกามาร์คเกอร์อันใหญ่เขียนบนกระดาษ ลากเส้นให้เด็กลากตามครู โดยลากเส้นจากซ้ายไปขวาอย่างน้อย 10 ครั้ง ให้เด็กลากตามทีละเส้นหรือลากจากบนลงล่าง </li>
<li>เล่นเกมต่อจุดโดยการลากเส้นต่อจุดจากซ้ายไปขวาหรือบนลงล่าง </li>
<li>วางแผ่นฉลุบนกระดาษแล้วใช้มือข้างที่ไม่ถนัดกดแผ่นฉลุไว้อย่าให้เลื่อนได้ แล้วเอามือข้างที่ถนัดจับดินสอลากไปตามขอบของแผ่นฉลุ </li>
<li>ติดผ้าสักหลาดไว้ที่ผนังหรือเอากระดานสักหลาดหรือกระดานแม่เหล็กติดไว้ที่ผนัง แล้วให้เด็กเอารูปทรงหรือภาพต่างๆไปติดไว้บนกระดาน </li>
<li>ให้เด็กเขียนบนกระดานดำโดยใช้ชอล์กแทนปากกา ลากเส้นจากบนลงล่าง ซ้ายไปขวา </li>
<li>ระบายสีบนกระดาษที่วางบนขาตั้งภาพ </li>
</ul><div class="hitbG"><strong>กิจกรรมส่งเสริมการควบคุมการเคลื่อนไหวของลูกตา ( Ocular Motor Control ) </strong></div><ul type="disc"><li>ใช้ไฟฉายส่องบนเพดาน โดยให้เด็กนอนหงายแล้วมองตามการเคลื่อนไหวของแสงไฟจาก ซ้ายไปขวา บนลงล่างและทิศทางเฉียง </li>
<li>หาภาพที่ซ่อนอยู่ในหนังสือ </li>
<li>เล่นเกมเขาวงกต </li>
</ul><div class="hitbG"><strong>กิจกรรมส่งเสริมสหสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ ( Eye-hand Coordination ) </strong></div><ul type="disc"><li>โยนลูกบอลหรือของเล่นเข้าไปในห่วงฮูล่าฮูบที่วางอยูบนพื้น เพิ่มความยากโดยการเพิ่มระยะทางในการโยน </li>
<li>โยนบอลแล้วรับโดยเริ่มจากการใช้บอลลูกใหญ่แล้วลดขนาดลูกบอลลงเพื่อเพิ่มความยาก </li>
<li>โยนโบว์ลิ่งโดยใช้ลูกบอลแทนลูกโบว์ลิ่งแล้วใช้ขวดโซดาแทนพินโบว์ลิ่ง </li>
<li>เล่นตีลูกโป่งโดยใช้ลูกโป่งขนาดกลาง </li>
</ul>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-54049657414820436752011-01-26T10:40:00.001-08:002011-01-26T10:40:51.161-08:00เสริมสร้างคุณลักษณะที่เหมาะสมในเด็กปฐมวัย<table align="center" bgcolor="#ffffcc" border="1" bordercolor="#ffcc00" cellpadding="4" cellspacing="1" class="txtContent2" style="width: 700px;"><tbody>
<tr><td align="center" bgcolor="#ccff00"><div style="font-weight: bold;">เสริมสร้างคุณลักษณะที่เหมาะสมในเด็กปฐมวัย</div></td></tr>
<tr><td><br />
<table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" style="width: 400px;"><tbody>
<tr><td><img height="225" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_01.jpg" width="179" /></td><td><img height="225" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_02.jpg" width="300" /></td></tr>
</tbody></table><br />
<span style="color: #ff6600; font-weight: bold;">ตายแล้ว …. !!! </span><br />
<span style="color: #0066ff;">เสียงร้องอุทานของคุณแม่วัย 22 ปี ที่เข้าร่วมกิจกรรมเวทีพูดคุยแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันกับครอบครัวอื่น ๆ ในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก จากประเด็นหัวข้อ “ลูกดื้อ ซน เอาแต่ใจ ทำอย่างไรดี?” เป็นความตกใจของคุณแม่ซึ่งคาดไม่ถึงกับวิธีการเลี้ยงดูลูก ที่เป็นการสร้างพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมให้แก่เด็ก โดยการปล่อยให้ลูกดูแผ่นซีดีตลกซ้ำ ๆ ที่มีคำด่าและคำพูดหยาบคาย ไม่เหมาะกับวัยของเด็ก รวมถึงการปล่อยให้ลูกเล่นเกมจากโทรศัพท์มือถือ จนทำให้เด็กติดเกม โดยคิดไม่ถึงว่าจะส่งผลต่อพัฒนาการและพฤติกรรมของลูก</span><br />
<br />
กระบวนการเรียนรู้ในหัวข้อเรื่องดังกล่าว มาจากการสะท้อนปัญหาการเลี้ยงลูกของครอบครัวที่มีลูกอยู่ในวัย 2-4 ปี ซึ่งพบว่าเด็กมักจะมีพฤติกรรมที่ต่อต้าน ดื้อ ซน และเอาแต่ใจตนเอง เมื่อเด็กไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการก็จะมีการแสดงพฤติกรรมที่ทำให้ผู้ปกครองรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสีย จากที่ต้องยอมตามใจเพื่อตัดความรำคาญในครั้งแรก ก็มักจะมีครั้งที่สอง..สาม ตามมาโดยตลอด และถ้าเมื่อใดสิ่งที่เด็กเคยได้แล้วไม่ได้ พฤติกรรมการเรียกร้องก็จะถูกพัฒนาให้มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จากยืนร้องไห้นิ่ง ๆ ก็จะกลายเป็นส่งเสียงร้องกรี๊ด กระทืบเท้า ด่าและตีพ่อแม่ หรือแม้กระทั่งลงนอนดิ้นพราด ๆ ให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ ซึ่งพฤติกรรมเหล่านี้ถ้าผู้ใหญ่ไม่อดทนพอ ก็จะเกิดการปะทะอารมณ์กันขึ้น ถึงขั้นลงไม้ลงมือกันเลยทีเดียว ซึ่งนั่นก็จะกลายเป็นความรุนแรงของพ่อแม่ที่ปฏิบัติต่อลูก ถ้าพ่อแม่มีความรู้และเข้าใจในเรื่องพัฒนาการตามวัยของลูก ก็จะพบว่าการจัดการและรับมือกับพฤติกรรมของลูกไม่ใช่เรื่องยากเลย<br />
<br />
<table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" class="txtContent2" style="width: 200px;"><tbody>
<tr><td><img height="199" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_03.jpg" width="285" /></td><td><img height="199" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_04.jpg" width="300" /></td></tr>
</tbody></table><br />
<span style="color: #6600ff;">พฤติกรรม ซน ดื้อ ก้าวร้าว ถือเป็นพัฒนาการปกติของเด็กช่วงปฐมวัย เพราะธรรมชาติของเด็กวัยนี้ เป็นวัยชอบสำรวจ อยากรู้อยากเห็น เด็กมีพัฒนาการเกี่ยวกับการใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่อย่างรวดเร็ว รวมถึงพัฒนาการด้านสังคม มีความเป็นตัวของตัวเองสูง และยึดตนเองเป็นศูนย์กลาง เด็กอาจโมโหและอาละวาดได้ง่าย เพราะยังขาดการควบคุมอารมณ์ตนเอง ซึ่งอาจเป็นเพราะเด็กบางคนมีพื้นอารมณ์ที่เลี้ยงยาก และปัญหาพฤติกรรมที่มีผลมาจากการเลี้ยงดู เช่น การทอดทิ้งไม่เอาใจใส่ดูแลเด็ก การลงโทษเด็กด้วยความรุนแรง การตามใจและยอมตามเด็กเสมอ การทะเลาะกันภายในครอบครัว การยั่วยุอารมณ์ให้เด็กโกรธ การไม่ถูกฝึกระเบียบวินัยในชีวิตประจำวัน หรือเด็กทำผิดแล้วผู้ใหญ่ให้ท้าย รวมถึงสื่อต่าง ๆ ที่แสดงออกถึงเรื่องความรุนแรง รวมถึงการใช้อาวุธต่าง ๆ ตลอดจนชุมชนที่มีการใช้ความก้าวร้าว รุนแรง ให้เด็กเห็นอยู่เสมอ </span><br />
<br />
การจัดกิจกรรมสร้างพื้นที่เรียนรู้สำหรับครอบครัวในศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก ก็เพื่อเป็นการพัฒนาทักษะความรู้แก่ผู้ปกครองเด็กในการเสริมสร้างพัฒนาคุณลักษณะที่เหมาะสมแก่เด็กปฐมวัย ในพื้นที่ศูนย์พัฒนาเด็กเล็ก 6 แห่ง ซึ่งได้แก่ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านทุ่งน้อย องค์การบริหารส่วนตำบลทุ่งน้อย อำเภอเมือง จังหวัดนครปฐม ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านโคกสลุง และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านคันนาหิน องค์การบริหารส่วนตำบลโคกสลุง อำเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี และศูนย์พัฒนาเด็กเล็กสานรัก 1 (บ้านท่างาม) ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านโคกเครือ ศูนย์พัฒนาเด็กเล็กบ้านอุ่มเม่า องค์การบริหารส่วนตำบลอุ่มเม่า อำเภอยางตลาด จังหวัดกาฬสินธุ์ ซึ่งครอบครัวได้นำเสนอปัญหาเพื่อเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน และได้รับคำแนะนำวิธีจัดการปัญหาการเลี้ยงลูก ดังนี้<br />
<br />
<span style="color: #669900; font-weight: bold;"><img height="12" src="http://www.ffc.or.th/images/icon/go.gif" width="23" /> ปัญหาลูกดื้อ เอาแต่ใจตนเอง เจ้าอารมณ์ </span>การเลี้ยงดูลูกของครอบครัวในศูนย์พัฒนาเด็กเล็กซึ่งอยู่ในช่วงปฐมวัย เกิดจากการที่พ่อแม่รู้สึกหนักใจและไม่สามารถจัดการพฤติกรรมของลูกที่เป็นเด็กซน ดื้อ เอาแต่ใจตนเอง เจ้าอารมณ์ ไม่เชื่อฟัง และแสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะไม่ควร เช่น เมื่อต้องการเรียกร้องหรืออยากได้ขนม หรือของเล่น ของใช้ ถ้าไม่ได้รับการตอบสนอง ก็จะอาละวาด ซึ่งพ่อแม่ส่วนใหญ่ใช้วิธีจัดการลูกด้วยการตี เพื่อหยุดพฤติกรรม ซึ่งวิทยากรก็ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับการลดพฤติกรรมที่ไม่พึงปรารถนาของเด็กว่า พ่อแม่ควรนิ่งเฉยขณะที่เด็กกำลังโกรธและอาละวาด จนเมื่อเด็กสงบลง จึงใช้การพูดคุยให้เหตุผล ใช้ความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจ เป็นพื้นฐานสำคัญ ในขณะเดียวกันก็ควรมีการสร้างสายสัมพันธ์ สร้างสายใยที่ดีกับลูกเพื่อเป็นวัคซีนใจให้กับเด็ก ๆ เมื่อเด็กโตขึ้นเกิดปัญหาที่เขาไม่สามารถหาทางแก้ไขเองได้ เด็กจะกล้าที่จะพูดคุยกับพ่อแม่ เพราะมีพ่อแม่เป็นสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ <br />
<br />
<span style="color: #669900; font-weight: bold;"><img height="12" src="http://www.ffc.or.th/images/icon/go.gif" width="23" /> ปัญหาการไม่เท่าทันต่อสื่อและเทคโนโลยี</span> การเลี้ยงดูเด็กที่เกิดจากความไม่รู้ของผู้ปกครอง และมีผลให้เด็กเกิดการเลียนแบบ คือการปล่อยให้ลูกหลานอยู่กับสื่อโทรทัศน์ เกม คอมพิวเตอร์ มากเกินไป ทำให้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นน้อยลง ทำให้เด็กขาดทักษะทางสังคม และการอยู่ร่วมกับผู้อื่น ซึ่งเด็กในวัย 0-5 ปี เป็นวัยที่สมองกำลังพัฒนา อยู่ในวัยที่กำลังเรียนรู้ จึงไม่ควรให้เด็กอยู่กับสื่อมากเกินไป ควรมีข้อตกลงกับเด็กในการกำหนดระยะเวลาในการดูโทรทัศน์ หรือหากิจกรรมอื่นมาให้เด็กทำร่วมกับคนในครอบครัว เช่น ทำงานบ้าน หรืออ่านนิทานด้วยกัน<br />
<br />
<span style="color: #669900; font-weight: bold;"><img height="12" src="http://www.ffc.or.th/images/icon/go.gif" width="23" /> ปัญหาการแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว พูดจาไม่ไพเราะ และพูดคำหยาบ</span> เวลาที่เด็กโกรธหรือไม่ได้ดั่งใจ ผู้ปกครองได้รับคำแนะนำในการแก้ไข โดยใช้การพูดคุยอธิบายถึงความไม่เหมาะสมให้เด็กได้รู้ ไม่ควรตำหนิดุว่าเด็ก เพราะคำบางคำเด็กไม่ได้รู้ความหมายแต่เป็นการจำจากคนอื่นแล้วนำมาใช้ เป็นการพูดเลียนแบบของเด็ก ถ้าหากเราตำหนิโดยไม่อธิบาย เด็กอาจจะไม่ใช้คำนั้นกับเราแต่อาจจะนำไปพูดกับคนอื่น <br />
<br />
<span style="color: #669900; font-weight: bold;"><img height="12" src="http://www.ffc.or.th/images/icon/go.gif" width="23" /> ปัญหาเด็กติดขวดนม ผ้าห่ม</span> ได้มีการแนะนำให้ผู้ปกครองใช้การเข้าสังคมของเด็กเป็นตัวลดพฤติกรรมการติดสิ่งต่าง ๆ ให้ลดลง โดยให้เด็กได้เห็นแบบอย่างจากเพื่อนคนอื่น ๆ เช่น “ถามเด็กว่าไม่อายเพื่อนหรอ ถ้าเอาขวดนมไปโรงเรียน” ? ปัญหาเด็กไม่รู้จักการรอคอย ให้ใช้การอธิบายถึงเหตุผลถึงความจำเป็นที่ต้องรู้จักการรอคอย ซึ่งพ่อแม่ต้องฝึกการตอบสนองสิ่งต่าง ๆ ให้แก่ลูกช้าลง เพื่อให้เด็กรอคอยเป็น เพราะเด็กในวัยนี้เป็นวันที่กำลังรับรู้ เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ซึ่งผู้ใหญ่จำเป็นต้องช่วยบอก ช่วยสอนอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้เด็กเรียนรู้อย่างเหมาะสมตามวัย<br />
<br />
<span style="color: #669900; font-weight: bold;"><img height="12" src="http://www.ffc.or.th/images/icon/go.gif" width="23" /> ปัญหาการร้องขอเงินเพื่อซื้อขนมของเล่นตลอดเวลา</span> ผู้ปกครองมักตอบสนองเด็กโดยการจ่ายเงินซื้อสิ่งของตามที่เด็กร้องขอ จนเป็นผลทำให้เด็กทานขนมมากจนเกินไป และไม่ยอมทานข้าว วิทยากรจึงให้แต่ละครอบครัวคิดค่าใช้จ่ายค่าขนมของลูกในหนึ่งวัน ทำให้ผู้ปกครองได้พบว่าได้ใช้จ่ายเงินเรื่องการซื้อขนมให้ลูกเป็นเงินจำนวนมาก จึงได้มีการเสนอให้ครอบครัวลองทำบัญชีครัวเรือนค่าใช้จ่ายเฉพาะของลูก เพื่อจะนำมาสู่การแก้ปัญหาด้านค่าใช้จ่ายของลูก และพ่อแม่ควรสร้างเงื่อนไขและต่อรองลูกบ้าง ไม่ใช่ยอมทำตามที่ลูกต้องการทุกอย่าง<br />
<br />
<table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" class="txtContent2" style="width: 350px;"><tbody>
<tr><td align="center"><img height="225" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_05.jpg" width="300" /></td><td align="center"><img height="225" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_06.jpg" width="300" /></td></tr>
</tbody></table><br />
<span style="color: #0066ff;">นอกจากคำแนะนำในการปรับพฤติกรรมลูกแล้ว วิธีการเสริมแรงทางบวกแก่เด็กก็เป็นสิ่งจำเป็น เมื่อเด็กแสดงพฤติกรรมที่เหมาะสม ผู้ปกครองควรให้รางวัลตอบแทนเป็นคำชม การกอดสัมผัส แทนการให้รางวัลเป็นสิ่งของ เพราะจะกลายเป็นการให้สินบนลูก การให้คำชมจะทำให้เด็กเกิดความภาคภูมิใจในคุณค่าและความเชื่อมั่นในตนเอง ซึ่งคำพูดของพ่อแม่มีอิทธิพลต่อจิตใจของเด็กเป็นอย่างมาก คำพูดที่ควรให้เป็นรางวัลแก่เด็ก ได้แก่ “แม่เชื่อว่าลูกแม่ทำได้”...... “แม่ภูมิใจในตัวลูกมากนะ”......“แม่รักลูกนะ” เป็นต้น<br />
การฝึกลูกให้มีวินัย ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะช่วยให้ลูกรู้จักควบคุมพฤติกรรมตนเอง ผู้ปกครองสามารถทำได้โดยฝึกให้ลูกเรียนรู้กฏ กติกา และวินัย โดยเริ่มจากการสร้างกฎ กติกา ภายในครอบครัวก่อน เพื่อต่อไปเด็กจะสามารถเรียนรู้กฎกติกาใหม่ ๆ ในโรงเรียน และสังคมได้ง่ายขึ้น อาจจะเริ่มฝึกจากการกำหนดเวลาในการนอน กำหนดค่าขนมในหนึ่งวัน เพื่อให้เด็กรู้จักการทำตามข้อตกลงร่วมกันของคนในครอบครัว ซึ่งต้องทำซ้ำ ๆ ทำอย่างสม่ำเสมอ และเป็นไปในทิศทางเดียวกันทั้งครอบครัว ควบคู่ไปกับสอนการคิดเชิงเหตุผลให้กับเด็ก ซึ่งเมื่อเด็กโตขึ้น จะทำให้เป็นผู้ใหญ่ที่ดี มีระเบียบวินัยในตนเอง และควบคุมตนเองได้ </span><br />
<br />
<table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" class="txtContent2" style="width: 350px;"><tbody>
<tr><td align="center"><img height="225" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_07.jpg" width="300" /></td><td align="center"><img height="225" src="http://www.ffc.or.th/images/carekid/2552/carekid_52_12_09_08.jpg" width="300" /></td></tr>
</tbody></table><span style="color: magenta;"><br />
โครงการฯ ขอขอบคุณวิทยากร คุณศศกร วิชัย นักจิตวิทยาคลินิกชำนาญการพิเศษ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ และ ทพ.ญ.ชัญญา ธีระโชติ โรงพยาบาลกาฬสินธุ์ คุณคณางค์ กงเพชร คุณลานนิพนธ์ เกษลา และคุณชวลิต กงเพชร ทีมวิทยากรจากโครงการครอบครัวเข้มแข็งจังหวัดกาฬสินธุ์ </span></td></tr>
</tbody></table>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-27092912079030954512011-01-26T10:29:00.000-08:002011-01-26T10:41:36.836-08:00Baby Pete counts to sleep<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="295" src="http://www.youtube.com/embed/TuFlpboJPPQ?fs=1" width="480"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-55033237224892153882011-01-26T10:24:00.000-08:002011-01-26T10:42:07.039-08:00Five Green Peas<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="295" src="http://www.youtube.com/embed/WVINCIoCKug?fs=1" width="480"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-39431502086684732162011-01-26T10:21:00.000-08:002011-01-26T10:42:20.261-08:003 year old piano player will be a star<iframe allowfullscreen="" frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/IsmCnJidW6k?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-65675470808557808182011-01-11T04:07:00.003-08:002011-01-11T04:17:16.049-08:00ทักษะทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัยเด็กปฐมวัยเป็นวัยที่มีความอยากรู้อยากเห็นต่อสิ่งแวดล้อมอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นวัยที่มีการพัฒนาทางสติปัญญา สูงที่สุดของชีวิต ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นทักษะที่ส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยสามารถคิดหาเหตุผล แสวงหาความรู้ สามารถแก้ปัญหาได้ตามวัยของเด็ก ควรจัด<br />
กิจกรรมให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเองจากสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว<br />
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ อันเป็นกระบวนการขั้นพื้นฐานหรือทักษะเบื้องต้นที่ควรส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนา มี 7 ทักษะกระบวนการ คือ ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา และทักษะการคำนวณ มีรายละเอียดของแต่ละทักษะดังนี้<br />
<br />
<div align="justify"><span class="style9"><strong><span style="color: black; font-size: x-small;">ทักษะการสังเกต</span></strong></span><a href="http://www.blogger.com/" name="1"></a><br />
การสังเกต (Observation) หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่างรวมกัน ได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น และผิวกาย เข้าไปสัมผัสโดยตรงกับวัตถุหรือเหตุการณ์ โดยมีจุดประสงค์ที่จะหาข้อมูลซึ่งเป็นรายละเอียดของสิ่งนั้น ๆ โดยไม่ใส่ความคิดเห็นของผู้สังเกตลงไป<br />
ทบวงมหาวิทยาลัย (2525:60) ได้กล่าวว่า ในการสังเกตต้องระวังอย่านำความคิดเห็นส่วนตัวไปปนกับความจริงที่ได้จากการสังเกตเป็นอันขาด เพราะการลงความคิดเห็นของเราในสิ่งที่สังเกตอาจจะผิดก็ได้ ถ้าอยากรู้ว่าข้อมูลที่บันทึกนั้นเกิดจาการสังเกตหรือไม่ ต้องถามตัวเองว่า ข้อมูลที่ได้นี้ได้มาจากการใช้ประสาทสัมผัสส่วนไหนหรือเปล่า ถ้าคำตอบว่าใช่ แสดงว่าเป็นการสังเกตที่แท้จริง<br />
นิวแมน (Neuman 1978: 26) ได้เสนอหลักสำคัญไปสู่การสังเกตสำหรับเด็กปฐมวัย ดังนี้<br />
1. ความรู้ที่ได้จากการสังเกตต้องเกี่ยวข้องกับประสาทสัมผัสทั้งห้า<br />
2. ควรใช้ประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่างละเอียดละออ<br />
3. ต้องใช้ความสามารถของร่างกาย โดยเฉพาะประสาทสัมผัสทั้งห้าในการสังเกตอย่าง<br />
ระมัดระวัง และจากประสบการณ์ที่ได้รับจะทำให้การสังเกตของเด็กพัฒนาขึ้น การสังเกตสามารถกลายเป็นเครื่องมือในการเรียนรู้ที่มีคุณค่า<br />
สุชาติ โพธิวิทย์ (ม.ป.ป.:15) ได้กล่าวถึงการสังเกตที่สำคัญที่ควรฝึกให้แก่เด็ก มี 3 ทางคือ <br />
1. การสังเกตรูปร่างลักษณะและคุณสมบัติทั่วไป คือ ความสามารถในการใช้ประสาท<br />
สัมผัสทั้ง 5 อย่าง สังเกตสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานให้ผู้อื่นเข้าใจได้ถูกต้อง คือ การใช้ตาดูรูปร่าง ลักษณะ หูฟังเสียง ลิ้นชิมรส จมูกดมกลิ่น และการสัมผัสจับต้องดูว่าเรียบ ขรุขระ แข็ง นิ่ม ฯลฯ<br />
2. การสังเกตควบคู่กับการวัดเพื่อทราบปริมาณ เช่น การใช้เทอร์โมมิเตอร์ ตาชั่ง ไม้บรรทัด กระบอกตวง ช้อน ลิตร ถัง ฯลฯ ใช้เครื่องมือเหล่านี้วัดสิ่งต่าง ๆ แล้วรายงานออกมาเป็นปริมาณ เป็นจำนวน<br />
3. การสังเกตเพื่อรู้ถึงการเปลี่ยนแปลง เช่น สังเกตการเจริญเติบโตของต้นพืช การเจริญ<br />
เติบโตของสัตว์ การเปลี่ยนแปลงทางเคมี การเปลี่ยนแปลงขนาดของผลึก การกลายเป็นไอของน้ำ ฯลฯ<br />
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการสังเกต<br />
<br />
<strong><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff7b24;"><span class="style7"><span style="color: black;">การสังเกตโดยใช้ตา</span> </span></span></span></strong> <br />
ในการสังเกตโดยใชสายตานั้น หากเด็กได้รับการชี้แนะให้รู้จักสังเกตลักษณะของสิ่งต่าง ๆ สังเกตความเหมือน ความแตกต่าง รู้จักจำแนก และจัดประเภทก็จะช่วยให้เด็กมี นิสัยในการมองสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวอย่างละเอียดรอบคอบ โดยขั้นแรกให้ดูสิ่งที่เด็กพบ เห็นอยู่ทุกวัน เช่น ต้นไม้ ขณะที่พาเด็กไปเดินเล่นในบริเวณโรงเรียน ครูเก็บใบไม้ต่าง ๆ ที่หล่นอยู่บนพื้นมาให้เด็กดู (ไม่ควรเด็ดใบไม้จากต้น ถ้าเด็กอยากเด็ด ให้บอกเด็กว่า “เก็บ จากพื้นดีกวา ดอกไม้ใบไม้ที่อยู่กับต้นช่วยให้ต้นไม้ดูสวยงามและเจริญเติบโต ถ้าเราเด็ด ออกมาดูอีกเดี๋ยวเดียวก็จะเหี่ยว”) ให้เด็กสังเกตสีของใบไม้ต่าง ๆ เด็กจะเห็นว่า ใบไม้ ส่วนใหญ่มีสีเขียว แต่บางใบก็มีสีแตกต่างไป ส่วนรูปร่างลักษณะก็มีทั้งคล้ายกันและต่าง กัน เช่น ใบมะนาวไม่มีแฉก ใบตำลึงมีแฉก เป็นต้น นอกจากใบไม้แล้ว ควรให้เด็กสังเกตุ รูปทรงต่าง ๆ ของพืช เช่น เป็นลำต้นตรงสูงขึ้นไป เป็นเถาเลื้อยเกาะกับต้นอื่น ให้สังเกต ความแตกต่างของดอกไม้ และผลไม้ต่าง ๆ เช่น ดอกอัญชันมีสีม่วงเข้ม ส่วนดอกมะลิมีสี ขาว แล้วให้เด็กนำไปใช้ประโยชน่อะไรได้ เช่น เอาดอกอัญชันไปใช้ย้อมผ้าได้ ใบเตยนำ<br />
ไปใช้ในการทำขนม ทำให้มีสีสวยและกลิ่มหอม เป็นต้น<br />
นอกจากสังเกตใบไม้แล้ว ครูควรจัดหาเมล็ดพืชหลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กเล่นเพื่อ สังเกตลักษณะรูปร่างขนาด สี และหัดแยกประเภท และจัดหมวดหมู่ โดยนำเมล็ดที่มีลักษณะคล้ายกันไว้ด้วยกัน รวมทั้งให้คิดว่าเป็นเมล็ดของพืชชนิดใดด้วย<br />
อุปกรณ์ที่มีประโยชน์มากสำหรับการสังเกต คือ แว่นขยาย เด็ก ๆ มักตื่นเต้นที่ได้ เห็นสิ่งต่าง ๆ มีขนาดใหญ่ขึ้น และเห็นรายละเอียดอย่างชัดเจน เช่น ตัวมด ใบไม้ เส้นผม ผิวหนัง เสื้อผ้า ก้อนหิน เม็ดทราย เป็นต้น<br />
</div><div align="justify"><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff7b24;"><strong class="style7"><span style="color: black;">การสังเกตโดยใช้หู</span> </strong></span></span> <br />
นอกจากความสามารถในการจำแนกเสียงจะมีประโยชน์ต่อการเตรียมความพร้อม ทางภาษาแล้วยังมีประโยชน์ในการศึกษาเกี่ยวกับธรรมชาติและสิ่งที่อยู่รอบตัวเด็กอีกด้วย เสียงที่เด็กคุ้นหูคือ เสียงสัตว์ต่าง ๆ ครูอาจใช้วิธีอัดเสียงนกในท้องถิ่น เสียงกบร้อง เสียง จักจั่น ฯลฯ แล้วเปิดเทปให้เด็กทายว่าเป็นเสียงสัตว์อะไรที่เด็กรู้จักสังเกตความแตกต่าง ของเสียงเหล่านี้จะช่วยให้ครูสามารถเชื่อมโยงไปสู่การสอนเกี่ยวกับลักษณะและความเป็น อยู่ของสัตว์ต่าง ๆ ได้ และช่วยให้เด็กมีความกระตือรือร้นที่จะสังเกตและศึกษาหาความรู้ เพิ่มเติมมากขึ้น<br />
สำหรับการฟังเสียงสิ่งต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัว อาจใช้วิธีให้เด็กปิดตา แล้วเดาว่าเสียงที่ ครูทำนั้นเป็นเสียงอะไร เช่น เสียงเคาะไม้ เสียงช้อนคนแก้วน้ำ เสียงฉิ่ง เป็นต้น จากการ ฟังเสียงที่แตกต่างกันของวัตถุเหล่านี้ เด็กจะเรียนรู้ถึงความแตกต่างของวัตถุซึ่งมีผลทำให้ เกิดเสียงที่ต่างกันไป นอกจากนี้ อาจนำเครื่องดนตรี หรือเครื่องให้จังหวะที่ทำด้วยวัสดุ ต่าง ๆ มาแสดงให้เด็กเห็นว่ามีเสียงต่างกัน เช่น ลูกซัดที่ใส่ถั่วเขียวไว้ข้างใน ลูกซัดหวาย ร้อนด้วยฝาน้ำอัดลม กรับไม้ไผ่ ฯลฯ<br />
</div><div align="justify"><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff7b24;"><strong class="style7"><span style="color: black;">การสังเกตโดยใช้จมูก</span> </strong></span></span> <br />
กิจกรรมที่ใช้การดมกลิ่น ควรประกอบด้วยการให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นต่าง ๆ กัน รวม ทั้งให้ดมสิ่งที่มีกลิ่นคล้าย ๆ กัน แต่มีความแตกต่างกันบ้างเล็กน้อยเพื่อให้รู้จักจำแนกได้ ละเอียดขึ้น ในขั้นแรกให้นำของต่าง ๆ ที่จะให้เด็กดมใส่ขวดเอากระดาษปิดขวดรอบนอก เพื่อไม่ให้เห็นสิ่งของ ให้เด็กดมแล้วบอกว่าเป็นกลิ่นอะไร ตัวอย่างสิ่งที่อาจให้ดม ได้แก่ หัวหอม กระเทียม สบู่ กาแฟ ใบสะระแหน่ เปลือกส้ม ยาดม ฯลฯ ต่อมาหลังจากที่เด็ก สามารถจำแนกกลิ่นต่าง ๆ ได้แล้ว ควรให้ดมกลิ่นสิ่งที่มีกลิ่นคล้ายกัน แต่ก็มีความ<br />
แตกต่างกันอยู่บ้าง เช่น สบู่ต่างชนิดกัน ดอกไม้ต่าง ๆ ใบไม้ต่าง ๆ ผลไม้ เช่น ส้ม กับมะนาว แล้วให้เด็กพูดบรรยายความรู้สึก เช่น ดอกไม้ดอกนี้หอมชื่นใจ ดอกนี้หอมแรงไป หน่อย ใบไม้นี้มีกลิ่นหอม ใบนี้กลิ่นคล้ายของเปรี้ยว เป็นต้น<br />
</div><div align="justify"><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff7b24;"><strong class="style7"><span style="color: black;">การสังเกตโดยใช้ลิ้น</span> </strong></span></span> <br />
การใช้ลิ้นชิมรสอาหารต่าง ๆ เป็นกิจกรรมที่เด็กสนุกสนานเพราะสอดคล้องกับ ธรรมชาติของเด็กที่ชอบชิม แทะ สิ่งต่าง ๆ แต่ต้องสอนให้เด็กเข้าใจว่าสิ่งใดเอาเข้าปากได้ และสิ่งใดไม่ควรแตะต้องเพราะมีพิษหรือเป็นอันตรายต่อร่างกาย เมื่อเด็กไปพบเห็นสิ่ง ต่าง ๆ ที่มีอยู่ตามธรรมชาติจะได้ไม่เอาเข้าปาก การให้เด็กได้ชิมรสต่าง ๆ นี้ก็เพื่อให้รู้จัก ความแตกต่างของรส และรู้จักลักษณะของสิ่งที่นำมาใช้เป็นอาหารดียิ่งขึ้น ในการจัดกิจกรรมนั้น ให้เอาอาหารชิ้นเล็ก ๆ หลายอย่างใส่ถาดให้เด็กปิดตาแล้วครูส่งให้ชิม ให้เด็ก ตอบว่า กำลังชิมอะไร รสเป็นอย่างไร เช่น น้ำตาล เกลือ วุ้น มะยม มะนาว ฯลฯ หลังจาก นั้นให้เปรียบเทียบอาหารที่มีรสหล้ายกันว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร เช่น มะยมกับ มะนาวแตกต่างกันอย่างไร<br />
</div><div align="justify"><span style="font-size: x-small;"><span style="color: #ff7b24;"><strong class="style7"><span style="color: black;">การสังเกตโดยใช้การสัมผัสทางผิวหนัง</span> </strong></span></span> <br />
การสัมผัสโดยใช้มือแตะหรือเอาสิ่งของต่าง ๆ มาสัมผัสผิวหนัง ช่วยให้เด็กได้ เรียนรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของวัตถุต่าง ๆ และเป็นพื้นฐานในการเรียนรู้ในระดับสูงขึ้นไป กิจกรรมอาจเริ่มโดยเอาวัตถุหลายอย่างใส่ถุง ให้เด็กปิดตาเอมมือหยิบสิ่งของขึ้นมา แล้ว ให้บอกว่าสิ่งที่คลำมีลักษณะอย่างไร เช่น นุ่ม แข็ง หยาบ เรียบ ขรุขระ เย็น อุ่น บาง หนา ฯลฯ ของที่นำมาใส่ในถุงควรเป็นสิ่งที่มีพื้นผิวแตกต่างกัน เช่น ผ้าเนื้อต่าง ๆ กระดาษ หยาบ ฟองน้ำ ไม้ ขนนก เหรียญ ฯลฯ นอกจากเด็กจะได้ฝึกใช้ภาษาที่เกี่ยวข้องกับวัตถุ เหล่านี้แล้วยังได้เรียนรู้ลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันของวัตถุแต่ละชนิดอีกด้วย<br />
<br />
<strong class="style9"><span style="color: black; font-size: x-small;">ทักษะการจำแนกประเภท</span></strong><a href="http://www.blogger.com/" id="2" name="2"></a><br />
การจำแนกประภท (Classifying) หมายถึง ความสามารถในการแบ่งประเภทสิ่งของโดยหาเกณฑ์ (Criteria) หรือสร้างเกณฑ์ในการแบ่งขึ้น เกณฑ์ที่ใช้ในการจำแนกประเภทของสิ่งของมีอยู่ 3 อย่าง คือ ความเหมือน (Similarities) ความแตกต่าง (Differences) และความสัมพันธ์ร่วม (Interrelationships) ซึ่งแล้วแต่เด็กจะเลือกใช้เกณฑ์อันไหน นอกจากนี้ ประภาพรรณ สุวรรณสุข (2527:37) ได้ให้ความหมายของการจำแนกประเภทว่า หมายถึง การใช้ประสาทสัมผัสส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกายจัดสิ่งต่าง ๆ ให้เข้าอยู่ในประเภทเดียวกัน ซึ่งการจัดประเภทนี้อาจทำได้หลายวิธี เช่น แยกประเภทตามตัวอักษร ตามลักษณะ รูปร่าง แสง สี เสียง ขนาด ประโยชน์ในการใช้ เป็นต้น<br />
นิวแมน ได้อธิบายว่า เด็กปฐมวัยสามารถจำแนกวัตถุออกเป็นกลุ่ม ๆ ได้โดยการใช้คุณสมบัติเฉพาะตัวของวัตถุหรือมิติของวัตถุนั้น ๆ เป็นเกณฑ์ในการจำแนก อาทิ สี ความแข็งแรง ขนาดและรูปร่าง เป็นต้น เด็กบางคนอาจจำแนกวัตถุต่าง ๆ ออกเป็นกลุ่มได้โดยใช้คุณสมบัติหรือมิติมากกว่าหนึ่งอย่าง ในการจำแนกนี้เด็กควรจะได้รับโอกาสที่ให้สามารถคิดตัดสินใจในการจำแนกโดยใช้วิธีการจำแนกของเด็กเอง และไม่ใช่วิธีการจำแนกของผู้อื่นกำหนดให้ สำหรับ เรส์ด และแพทเตอร์สัน (Resd and Patterson) ได้กล่าวในทำนองเดียวกันว่า การจำแนกประเภทเป็นแกนกลางของการเรียนรู้ทางวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย ที่ใช้วิธีการจัดระเบียบการสังเกตด้วยตนเอง การจำแนกประเภทนั้นมีสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่ 2 อย่าง คือ เนื้อหาของกระบวนการวิชา คือ วิชาวิทยาศาสตร์ และวิธีการของการสืบเสาะทางวิทยาศาสตร์ ตลอดทั้งกระบวนการของการจำแนกประเภทของเด็กในการเรียนเกี่ยวกับลักษณะพิเศษของวัตถุชนิดต่าง ๆ ซึ่งเด็กปฐมวัยนั้นสามารถจะจำแนกคุณสมบัติของวัตถุได้โดยใช้วิธีการพื้นฐานง่าย ๆ นอกจากนี้ทบวงมหาวิทยาลัย (2525:68) ได้กล่าวถึงการจำแนกประเภทว่า เป็นกระบวนการที่นักวิทยาศาสตร์ใช้จำแนกสิ่งต่าง ๆ ออกเป็นหมวดหมู่เพื่อช่วยให้เกิดความสะดวกในการศึกษาและจดจำ โดยอาศัยเกณฑ์บางอย่างในการจำแนกสิ่งเหล่านี้ เช่น จำแนกสิ่งมีชีวิตออกเป็นพืชและสัตว์ โดยอาศัยลักษณะรูปร่าง การเคลื่อนไหว การกินอาหาร การขับถ่ายของเสีย และการสืบพันธุ์เป็นเกณฑ์ในการจำแนก เมื่อพิจารณาคุณสมบัติเหล่านี้แล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่า พืชและสัตว์แตกต่างกันมาก บางครั้งอาจจะมีปัญหาอยู่บ้างในการเลือกเกณฑ์ที่จะใช้ในการจำแนกประเภท ยกตัวอย่างเช่น แป้งเปียกมีลักษณะกึ่งกลางระหว่างของแข็งกับของเหลว จึงไม่ทราบจะจัดเข้าประเภทใด ซึ่งตัวอย่างดังกล่าวนี้แสดงให้เห็นว่า การจำแนกโดยใช้เกณฑ์อย่างหนึ่งอย่างใดแต่เพียงอย่างเดียว จะมีข้อจำกัดในการจำแนกสิ่งต่าง ๆ จึงมีข้อเสนอแนะว่าในการจำแนกนั้นเราจะใช้วิธีใด หลักใดก็ตาม วิธีที่ดี คือ วิธีที่ทำให้เราสามารถแยกประเภทและระบุชนิดของวัตถุต่าง ๆ ได้โดยเด็ดขาด ไม่ควรก้ำกึ่งกันจะทำให้สับสน การพัฒนาทักษะในการจำแนกประเภทนั้น ผู้เรียนจะต้องเริ่มด้วยการจำแนกกลุ่มของวัตถุออกเป็นสองพวกตามเกณฑ์ที่กำหนดอย่างใดอย่างหนึ่ง จากนั้นก็แบ่งต่อไปตามเกณฑ์ที่กำหนดขึ้นเป็นครั้งที่สอง และทำเช่นนี้เรื่อยไป จนกระทั่งผู้เรียนสามารถแบ่งระบุวัตถุที่มีอยู่จำนวนมาก ๆ ได้<br />
ดังนั้นการจัดประสบการณ์ทางวิทยาศาสตร์ให้แก่เด็กปฐมวัยด้วยวีธีการจำแนกประเภท ครูจะต้องพยายามจัดหาวัสดุอุปกรณ์หลาย ๆ ชนิดมาให้เด็กได้เล่น เพื่อให้เด็กเกิดความสนใจอยู่เสมอ กระตุ้นให้เด็กเสนอแนวคิดในการจำแนกวัตถุในหลาย ๆ ลักษณะให้ได้มากที่สุดที่เด็กจะทำได้ และหลังจากที่เด็กจำแนกประเภทได้แล้ว ควรให้เด็กอภิปรายเหตุผลที่เขาได้จำแนกตามประเภทเช่นนั้น<br />
<br />
<span class="style8"><strong><span style="font-size: x-small;">ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการจำแนกประเภท</span></strong></span><strong><br />
<span class="style7"><span style="color: black; font-size: x-small;">การแยกประเภทเมล็ดพืช</span></span></strong><br />
แนวคิด<br />
เมล็ดพืชมีความแตกต่างกันในด้านขนาดรูปร่าง สี และความหยาบละเอียดของผิวนอกเมล็ด<br />
<br />
<span style="color: black; font-size: x-small;"><strong class="style7">วัตถุประสงค์</strong></span><br />
<strong><span style="color: #ff7b24; font-size: x-small;"> </span></strong>หลังจากที่ได้ทำกิจกรรมนี้แล้วเด็กสามารถ<br />
1. แยกประเภทของเมล็ดพืชได้อย่างน้อย 2 ลักษณะ<br />
2. เกิดความคิดรวบยอดเกี่ยวกับความแตกต่างกันของเมล็ดพืชในด้านขนาด รูปร่าง สี และความหยาบละเอียดของผิวนอกเมล็ด<br />
<strong class="style7"><br />
<span style="color: black; font-size: x-small;">วัสดุอุปกรณ์</span></strong><br />
1. เมล็ดพืชชนิดและขนาดที่แตกต่างกันในด้านขนาด รูปร่าง สี และความหมาย ละเอียด เช่น เมล็ด ถั่วเขียว ถั่วดำ ถั่วแดง ข้าวเปลือก น้อยหน่า มะละกอ ชมพู่ ฝรั่ง มะขาม ฯลฯ<br />
2. ถาด หรือฝากล่องกระดาษสำหรับแยกเซตของเมล็ดพืช<br />
3. ภาชนะสำหรับใส่เมล็ดพืช (อาจจะใช้ถ้วยพลาสติก ชาม กระทง หรือขันก็ได้)<br />
<strong class="style7"><br />
<span style="color: black; font-size: x-small;">กิจกรรม</span></strong><br />
<span style="color: black;"> </span>1. จัดเมล็ดพืชทุกประเภทที่สามารถหามาได้โดยผสมกันแล้วแบ่งใส่ภาชนะเพื่อ<br />
แจกให้กับเด็กทุกคนโดยครูยังไม่ต้องให้คำแนะนำใด ๆ ทั้งนั้น ปล่อยให้เด็กเล่นกับเมล็ดพืชตามลำพัง<br />
2. หลังจากนั้นสักครูหนึ่งบอกให้เด็กแยกประเภทของเมล็ด ขณะที่เด็กทำกิจกรรมอยู่ครูเดินดูรอบ ๆ และอภิปรายกับเด็กแต่ละคนว่าแยกประเภทของเมล็ดพืชได้อย่างไร หรือเพราะเหตุใดเขาจึงแยกในลักษณะนั้น<br />
3. ส่งเสริมให้เด็กแยกประเภทของเมล็ดพืชในลักษณะใหม่ที่ไม่ให้ซ้ำกับแบบเดิมที่เขาได้ทำไว้ครั้งแรก โดยถูกต้อง ไม่แนะนำใด ๆ ทั้งสิ้น<br />
4. อภิปรายเกี่ยกวับวิธีการที่เด็กแต่ละคนแยกประเภท โดยอาจจะให้เด็กเดินดูของ เพื่อนคนอื่น ๆ ว่าเขาทำกันอย่างไร หลังจากนั้นครูควรตั้งคำถามเด็กว่า<br />
“ทำไมจึงใส่เมล็ดพืชเหล่านั้นรวมอยู่ในกองเดียวกัน”<br />
“ นักเรียนว่ามีวิธีการอื่นอีกไหมที่จะจัดเมล็ดพืชมาอยู่กองเดียวกัน”<br />
“นักเรียนสามารถจะเอาเมล็ดพืชที่ครูแจกให้นั้นมาแยกเป็น 2 กลุ่มได้ไหม”<br />
<strong class="style7"><span style="color: black;"><br />
<span style="color: #ff7b24; font-size: x-small;"></span><span style="color: black;">ข้อเสนอแนะ</span></span></strong><br />
1. กิจกรรมนี้จะได้ผลดีควรจะต้องหาเมล็ดพืชหลายประเภทและหลายขนาด<br />
2. เมล็ดพืชนี้ครูอาจให้เด็กช่วยกันนำมาและสะสมไว้ เพราะอาจจะเก็บไว้ใช้ได้อีก ในหลาย ๆ กิจกรรม<br />
</div><div align="justify"><strong class="style9"><span style="color: black; font-size: x-small;">ทักษะการวัด</span></strong><a href="http://www.blogger.com/" name="3"></a><br />
การวัด (Measurement) หมายถึง การใช้เครื่องมือต่าง ๆ วัดหาปริมาณของสิ่งที่เราต้องการทราบได้อย่างถูกต้อง โดยมีหน่วยการวัดกำกับอยู่เสมอ<br />
ทิพย์วัล สีจันทร์ (2531 :19) กล่าวถึงการใช้คำถามเพื่อฝึกฝนให้ผู้วัดหาคำตอบและกระทำตาม คือ<br />
1. จะวัดอะไร คำถามนี้จะทำให้ผู้วัดได้รู้จักกับสิ่งของที่จะวัด รู้จักธรรมชาติของสิ่งนั้น เช่น วัดความกว้าง ยาว สูง ของแท่งไม้ วัดปริมาตรของน้ำหรือของเหลวอื่น ๆ วัดอุณหภูมิ วัดน้ำหนัก <br />
2. จะวัดทำไม คำถามนี้ช่วยให้เราทราบความมุ่งหมายที่จะวัดว่า ต้องการทราบอะไร เช่น ความยาว ปริมาตร น้ำหนัก ความแข็ง อุณหภูมิ ฯลฯ และต้องการความละเอียดมากน้อยเพียงใด<br />
3. จะวัดด้วยอะไร คำถามนี้ต้องการทราบถึงการเลือกเครื่องมือที่นำมาใช้วัด เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพของสิ่งของที่จะวัดและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ที่จะวัดด้วย<br />
4. จะวัดอย่างไร คำถามนี้ถามถึงวิธีการที่เราจะวัด เช่น วัดโดยการนับจำนวนและนับโดยใช้ลำดับที่ เช่น ที่หนึ่ง ที่สอง ต่อไป สุดท้าย คู่ วัดโดยการตวง วัดโดยการชั่ง วัดโดยการเปรียบเทียบ เป็นต้น<br />
ส่วนด้านการวัดนั้น สำนึก โรจนพนัส (2528 : 29) ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับการวัดของเด็กอนุบาลว่า เป็นเพียงพื้นฐานเบื้องต้นของการวัด เช่น การกะปริมาณ กิจกรรมใดก็ตามที่จะให้เด็กชี้หรือบอกว่าสิ่งที่เขาสัมผัสอยู่นั้น หนัก เบา ใหญ่ เล็ก ฯลฯ ล้วนเป็นการเตรียมความพร้อมทางการวัดทั้งสิ้น <br />
ในด้านปริมาณ ประภาพรรณ สุวรรณศุข (2527 : 376) ได้อธิบายถึงการให้เด็กปฐมวัยบอกปริมาณของวัตถุต่าง ๆ ว่า ควรจะมุ่งในเรื่องของปริมาณที่สามารถมองเห็นได้ชัดและเป็นหน่วยใหญ่ ๆ ไม่ควรสนใจในเรื่องหน่วยย่อย เช่น การเปรียบเทียบโต๊ะ 2 ตัว ว่าตัวใดยาวกว่า ครูอาจแนะนำให้เด็กสังเกตด้วยสายตา อาจจะใช้สายวัดมาวัดดู อาจจะทำเครื่องหมายบนสายวัดเอาไว้ เด็กก็จะสามารถมองเห็นความแตกต่างกันได้ แต่ครูไม่ควรบอกเด็กว่าโต๊ะตัวแรกยาว 12 นิ้ว<br />
1 เซนติเมตร โต๊ะตัวที่สองยาว 11 นิ้ว โต๊ะตัวไหนยาวกว่ากัน การบอกความยาวเป็นเช่นนี้ เด็กจะยังไม่สามารถเข้าใจเกี่ยวกับมาตราได้ดี เด็กก็จะตอบคำถามไม่ได้ ซึ่งอาจจะมีผลทำให้เด็กไม่สนใจเรียน และการให้เด็กแสดงปริมาณของวัตถุ ไม่ควรใช้การสังเกคด้วยสายตาเพียงอย่างเดียว ควรให้เด็กได้ใช้วิธีต่าง ๆ ให้มากที่สุด<br />
<br />
<span style="color: black; font-size: x-small;"><strong class="style7">ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการวัด</strong></span><br />
<br />
ตัวอย่างการวัดอย่างง่าย ได้แก่ วัดโต๊ะเรียนสูงกี่คืบ กระดานดำยาวกี่ศอก น้ำมี<br />
ปริมาตรกี่ปี๊บ ระยะเวลาเรียนหนังสือนานเพียงไร (อาจตอบว่าตั้งแต่หลังเคารพธงชาติ จนถึงเวลาอาหารกลางวันหรือพระอาทิตย์ตรงศรีษะ)<br />
</div><div align="justify"><strong class="style9"><span style="color: black; font-size: x-small;">ทักษะการสื่อความหมาย</span></strong><a href="http://www.blogger.com/" name="4"></a><br />
การสื่อความหมาย (Cummunication) หมายถึง การพูด การเขียน รูปภาพ และภาษาท่าทาง การแสดงสีหน้า ความสามารถรับข้อมูลได้อย่างถูกต้องและชัดเจน ตลอดจนการแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึก ก็จัดว่าเป็นการสื่อความหมายด้วย<br />
ลักษณะที่จะบอกได้ว่า การสื่อความหมายได้ดีหรือไม่ จะต้องเป็นดังนี้<br />
1. บรรยายลักษณะคุณสมบัติของวัตถุโดยให้รายละเอียดที่ผู้อื่นสามารถวิเคราะห์ได้<br />
2. บันทึกการเปลี่ยนแปลงของวัตถุได้<br />
3. บอกความสัมพันธ์ของข้อมูลที่ได้จัดกระทำแล้ว<br />
4. จัดกระทำข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ ให้สามารถเข้าใจได้ดียิ่งขึ้น เช่น วาดภาพ ทำกราฟ เป็นต้น <br />
การที่จะฝึกเด็กให้มีทักษะในการสื่อความหมายที่ดีได้นั้น เด็กจะต้องรู้คำศัพท์ หรือความหมายของคำเป็นอย่างดี อีกทั้งจะต้องมีประสบการณ์ในการสื่อความหมายที่ถูกวิธีด้วย การพัฒนาทางด้านภาษา และความพร้อมในการอ่าน จะช่วยทำให้มีความสามารถในการสื่อความหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้นการที่เราจะให้เด็กสามารถสื่อความหมายกับผู้อื่นได้ดี จึงควรที่จะจัดประสบการณ์ด้านนี้ให้แก่เด็กตั้งแต่วัยปฐมวัย ซึ่งครูจะต้องกระตุ้นให้เด็กเป็นผู้อธิบายสิ่งต่าง ๆ ที่เขาได้ค้นพบให้มากที่สุด ถ้ามีเด็กที่ไม่ชอบพูดครูอาจจะต้องใช้เทคนิคในการตั้งคำถาม และหากเด็กบรรยายสถานการณ์ต่าง ๆ ที่ไม่ถูกต้อง ครูควรแก้ไขทันที<br />
<br />
<span style="color: black; font-size: x-small;"><strong class="style7">ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการสื่อความหมาย</strong></span><br />
<strong><span style="color: #ff7b24; font-size: x-small;"> </span></strong>วัสดุบางอย่างสามารถลอยน้ำ<br />
กิจกรรมนี้เป็นกิจกรรมที่ให้เด็กเรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุที่ลอยน้ำได้<br />
แนวคิด<br />
วัตถุบางอย่างสามารถลอยน้ำได้<br />
<strong class="style7"><br />
<span style="color: black; font-size: x-small;">วัตถุประสงค์</span></strong><br />
หลังจากทำกิจกรรมนี้เสร็จแล้วเด็กสามารถ<br />
1. ชี้บ่งวัตถุที่สามารถลอยน้ำได้<br />
2. อธิบายสาเหตุที่วัตถุลอยน้ำได้<br />
3. อธิบายสาเหตุที่ทำให้วัตถุจมน้ำ<br />
<strong class="style7"><br />
<span style="color: black; font-size: x-small;">วัสดุอุปกรณ์</span></strong><br />
กระดาษ ใบตอง กาบมะพร้าว ดินน้ำมัน เปลือกไม้ ตะปู ก้อนหิน ดินน้ำมัน อะลูมิเนียมฟอย (ถ้ามี) อ่างน้ำ น้ำ<br />
<strong class="style7"><br />
<span style="color: black; font-size: x-small;">กิจกรรม</span></strong><br />
1. แบ่งเด็กนักเรียนออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละประมาณ 4-5 คน<br />
2. แจกวัสดุทั้งหมด (ยกเว้นอ่างน้ำ และน้ำ) ที่กล่าวข้างต้นให้แก่เด็กทุกกลุ่ม<br />
3. บอกให้เด็กสร้างเรือคนละประเภทจากกระดาษ ใบตอง กาบมะพร้าว ดินน้ำมัน เปลือกไม่ อะลูมิเนียมฟอย ครูควรกระตุ้นให้เด็กทำเรือที่มีรูปร่างต่าง ๆ กัน เช่น ทำเป็นเรือใบ เรือแจว เรือเปลือกไม้ ฯลฯ<br />
4. ให้เด็กนำเอาเรือที่ได้ทำเสร็จแล้วไปลอยในอ่างน้ำที่มีน้ำอยู่และให้เด็กสังเกตเรือของตนเองว่าลอยน้ำได้หรือไม่ หลังจากนั้นครูอาจแนะนำให้เด็กเอาก้อนหินหรือตะปู หรือดินน้ำมันค่อย ๆ ใส่ลงไปบนเรือทีละอันหรือทีละก้อน และสังเกตดูว่ามีอะไรเกิดขึ้นถ้าเรือลำใดยังไม่จมน้ำครูอาจเสนอแนะให้เด็กเครื่องล่วงใส่ลงไปอีกจนกว่าเรือจะจม<br />
5. ครูอภิปรายกับเด็กโดยตั้งคำถามดังนี้<br />
“เรือที่เขาทำนั้นมีรูปร่างเป็นอย่างไร”<br />
“เรือของใครบ้างที่ลอยน้ำ เพราะอะไร”<br />
“เรือของใครบ้างที่จมน้ำ เพราะอะไร”<br />
“เรือรูปร่างอย่างไรที่แล่นได้เร็ว”<br />
</div><div align="justify"><span style="color: black; font-size: x-small;"><strong class="style7">ข้อเสนอแนะ</strong></span> <br />
1. กิจกรรมนี้ควรให้เด็กเล่นนอกห้อง และควรจัดหาอ่างน้ำให้เท่ากับจำนวนกลุ่ม<br />
2. ก่อนทำกิจกรรมนี้ครูควรฝึกให้เด็กพับเรือให้เป็นรูปต่าง ๆ ให้ได้ก่อนจะได้ไม่ เสียเวลามาก และเด็กสามารถเห็นความแตกต่างของเรือประเภทต่าง ๆ<br />
</div><div align="justify"><strong class="style9"><span style="color: black; font-size: x-small;">ทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล</span></strong> <a href="http://www.blogger.com/" name="5"></a><br />
การลงความเห็นจากข้อมูล (Inferring) หมายถึง การเพิ่มเติมความคิดเห็นให้กับข้อมูลที่มีอยู่อย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย ข้อมูลนี้อาจได้จากการสังเกต การวัดหรือการทดลอง การลงความเห็นจากข้อมูลต่างกับการทำนายในแง่ที่ว่า การลงความเห็นจากข้อมูลไม่บอกเหตุการณ์ในอนาคต เป็นเพียงแต่อธิบายความหมายจากข้อมูล โดยอาศัยความรู้และประสบการณ์เดิมมาช่วย <br />
การลงความเห็นจากข้อมูล เป็นการอธิบายข้อมูลที่ได้จากการสังเกตอย่างมีเหตุผล โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิมมาช่วย มีลักษณะดังนี้<br />
1. ลงข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ แต่ละอย่าง<br />
การลงข้อสรุปเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ แต่ละอย่างที่สังเกตได้โดยมีข้อมูลไม่เพียงพอ เช่น เห็นสารสีขาวก็บอกว่าเป็นเกลือ โดยยังไม่ได้สังเกตคุณสมบัติเฉพาะอื่น ๆ ของสิ่งนั้นให้เพียงพอ เช่น ยังไม่ได้สังเกตการละลาย รส เป็นต้น<br />
2. ลงข้อสรุปเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของสิ่งต่าง ๆ หรือปรากฏการณ์ต่าง ๆ <br />
อธิบายข้อมูลที่ได้จากการสังเกต โดยอาศัยความรู้หรือประสบการณ์เดิม เช่น เห็นต้นกุหลาบเหี่ยว ใบเป็นรูพรุน ก็บอกว่าเพราะหนอนกิน ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้สาเหตุที่แท้จริงว่าคืออะไร แต่อาศัยที่คนอื่นเคยบอกหรือเคยเห็นหนอนกินกุหลาบบ้านอื่น (ซึ่งถ้าต้องการจะรู้ว่ากุหลาบถูกหนอนกินจริงหรือไม่ก็ต้องสังเกตดูว่า บริเวณนั้นมีหนอนหรือไม่ ถ้าไม่พบแต่ยังสงสัยอยู่ว่า หนอนจะเป็นสาเหตุก็ลองตั้งสมมติฐานว่า “หนอนเป็นสาเหตุให้กุหลาบชนิดนี้ตายหรือไม่”)<br />
ลัดดาวัลย์ กัณหสุวรรณ (2530 : 6-8) ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับทักษะการลงความเห็นไว้ว่า ผู้ที่ลงความเห็นจะใช้ผลของการสังเกต และใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาเป็นข้อสรุปลงความเห็น ซึ่งอาจจะดีกว่าการเดาเล็กน้อย แต่ก็ไม่มีใครทราบว่าผิดหรือถูก<br />
หลายคนมีความเห็นว่า การลงความเห็นไม่น่าจะยกขึ้นมากล่าวในเรื่องของทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ แต่ทว่าการลงความเห็นนั้นเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ เรามักจะทำกันเสมอ ในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อสังเกตเห็นน้ำเปียกบนถนนก็คิดว่าฝนคงจะตกลงมากระมัง นอกจากนี้ยังมีการลงความเห็นในปรากฏการณ์อื่น ๆ อยู่เสมอ ดังนั้น นักวิทยาศาสตร์จึงได้หาวิธีการที่จะช่วยให้สามารถลงความเห็นได้ใกล้เคียงความจริงที่สุด<br />
สำหรับทักษะในการลงความเห็นนั้น มิใช่ว่าครูจะมุ่งแต่การฝึกให้นักเรียนลงความเห็นอย่างเดียว แต่จะต้องพยายามให้เด็กเรียนวิเคราะห์ให้ได้ว่า อะไรคือผลของการสังเกต และอะไรเป็นสิ่งที่เราพูดเอาเอง หรือสรุปลงความเห็นเอาเอง ซึ่งมิใช่ผลของการสังเกต และให้เน้นว่าเมื่อสังเกตอะไรแล้ว อย่ารีบด่วนสรุปลงความเห็น เพราะว่าไม่มีอะไรยืนยันว่า ข้อสรุปลงความเห็นนั้นผิดหรือถูก ควรเน้นว่า ข้อมูลใด ๆ ที่ได้มาจากการลงความเห็นแต่เพียงอย่างเดียวจะถือเป็นข้อยุติไม่ได้ <br />
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการลงความเห็นจากข้อมูล <br />
ครู - นักเรียนดูสิ่งที่ครูถืออยู่นี้แล้วบอกซิว่า สังเกตอะไรได้บ้าง<br />
นักเรียน - เห็นกล่องกลม ๆ สีดำ ฝาสีแดง<br />
ครู - นักเรียนลองมาจับกล่องใบนี้ เขย่าดูซิว่าเป็นอย่างไร<br />
นักเรียน - เขย่าแล้วมีเสียงดัง<br />
ครู - แล้วยังไงอีก<br />
นักเรียน - มีวัตถุรูปร่างแบน ๆ อยู่ในกล่อง<br />
กิจกรรมนี้จะเห็นได้ว่า นักเรียนสังเกตได้แต่เพียงกล่องสีดำ ฝาสีแดง เขย่าแล้วมี เสียงดัง ส่วนที่บอกว่า วัตถุที่อยู่ข้างในรูปร่างแบน ๆ นั้น เขาสังเกตไม่ได้ เขาเพียงได้ยิน เสียงเท่านั้น แล้วลงความเห็นเลยว่า รูปร่างเป็นอย่างไร ซึ่งที่บอกมานั้นอาจผิดหรือถูกก็ได้ จากตัวอย่างนี้คงจะช่วยให้เข้าใจถึงทักษะการลงความเห็นได้บ้าง สำหรับทักษะในการลง ความเห็นนั้นควรจะนับเป็นก้าวหนึ่งที่ก่อให้เกิดความอยากรู้อยากเห็น แต่ครูจะต้องไม่ลืม กระตุ้นให้นักเรียนหาข้อมูลเพิ่มเติมอีก<br />
</div><div align="justify"><strong class="style9"><span style="color: black; font-size: x-small;">ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา</span></strong><a href="http://www.blogger.com/" name="6"></a><br />
สเปส หรือมิติ (Space) ของวัตถุใด ๆ หมายถึง ที่ว่างที่วัตถุนั้นครองที่ ซึ่งจะมีรูปร่างเหมือนวัตถุนั้น เช่น สเปสของแผ่นกระดาษรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าก็คือ เนื้อที่ซึ่งกระดาษแผ่นนี้ทับอยู่ ซึ่งจะมีรูปร่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าเท่ากับแผ่นที่ทับอยู่ สเปสอาจมี 2 มิติ คือ กว้างและยาว หรืออาจมี 3 มิติ คือ กว้าง ยาว และสูง ก็ได้ การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปสสำหรับเด็ก<br />
ปฐมวัยอาจได้แก่ การรู้จักเรียนรู้ 1 มิติ 2 มิติ 3 มิติ การเขียนภาพ 2 มิติแทนรูป 3 มิติ การบอกทิศทาง การบอกเงาที่เกิดจากภาพ 3 มิติ การเห็นและเข้าใจภาพที่เกิดบนกระจกเงา การหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลาสำหรับเด็กปฐมวัย อาจได้แก่ การหาความสัมพันธ์ของวัตถุกับเวลาที่ใช้ไป เช่น การข้ามถนน การกะระยะมิติของรถที่กำลังแล่นมากับมิติ หรือสเปสของตัวเองที่จะข้ามถนน การเจริญเติบโตของถั่วงอกกับเวลาที่ใช้ไป เป็นต้น<br />
ทักษะในการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส คือ ความสามารถในการทำกิจกรรมต่อไปนี้ได้<br />
1. ชี้บ่งภาพ 2 มิติ และ 3 มิติ เช่น เมื่อนำภาพหรือวัตถุรูปร่างต่าง ๆ แผ่นกระดาษสี่เหลี่ยม แผ่นกลม แผ่นสามเหลี่ยม ลูกแก้ว ลูกเต๋า กล่องชอล์ก เหล่านี้เป็นต้น นักเรียนสามารถชี้บ่งได้ว่า สิ่งใดมี 2 มิติ และสิ่งใดมี 3 มิติ<br />
2. บอกความสัมพันธ์ระหว่างทิศทางของวัตถุหรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น เมื่อนักเรียนดูแผนผังของสวนสัตว์ดุสิตแล้ว นักเรียนสามารถบอกได้ว่า ถ้าเรายืนอยู่ตรงประตูด้านทิศตะวันตกของสวนสัตว์ และต้องการจะไปดูยีราฟจะต้องเดินทางไปทางซ้ายหรือทางขวาของตำแหน่งที่ยืนอยู่<br />
3. บอกตำแหน่งหรือทิศทางของวัตถุหรือสถานที่ต่าง ๆ เช่น เมื่อนักเรียนดูแผนผังของสวนสัตว์ดุสิต ตรงทางเข้าประตูสวนสัตว์ด้านหนึ่ง นักเรียนสามารถบอกได้ว่า ขณะนี้นักเรียนยืนอยู่ตำแหน่งใดในแผนผังนั้น<br />
4. บอกตำแหน่งซ้ายหรือขวาของภาพที่เกิดจากการวางวัตถุไว้หน้ากระจกเงา เช่น ถ้านักเรียนผูกผ้ากับข้อมือข้างขวาไว้ แล้วไปยืนหน้ากระจกเงา นักเรียนสามารถบอกได้ว่าภาพของนักเรียนในกระจกเงานั้นมีผ้าผูกข้อมือข้างใดไว้ เป็นต้น<br />
ทักษะในการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับเวลา คือ ความสามารถในการบอกความสัมพันธ์ระหว่างระยะทางกับเวลาที่วัตถุนั้นเคลื่อนที่ และการบอกความสัมพันธ์ระหว่างการเปลี่ยนแปลงขนาดหรือปริมาณของสารกับเวลา<br />
<br />
<span style="color: black; font-size: x-small;"><strong class="style7">ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างสเปสกับสเปส และสเปสกับเวลา</strong></span><br />
<strong><span style="color: #ff7b24; font-size: x-small;"> </span></strong>การสังเกตเงา<br />
<strong><br />
<span class="style7"><span style="color: black; font-size: x-small;">วัตถุประสงค์</span></span></strong><br />
เพื่อให้เด็กสามารถบอกชื่อวัตถุจากการสังเกตเงา และเปรียบเทียบเงาที่ได้เห็นกับวัตถุของจริงได้<br />
<strong><br />
<span class="style7"><span style="color: black; font-size: x-small;">วัสดุอุปกรณ์</span></span></strong><br />
1. ฉาก (อาจจะใช้กระดาษขาว กล่องกระดาษหรือผ้า)<br />
2. วัตถุหลาย ๆ ประเภทนี้มองเห็นได้ชัดเจน แลมีรูปร่างที่เด่นชัดเมื่อเด็กมองเห็น สามารถจะตอบได้ว่าเป็นอะไร เช่น ขวด แก้ว ช้อน ส้อม รูปดาว ดอกไม้ เป็นต้น วัสดุนี้อาจจะใช้ของจริงหรือของจำลองก็ได้<br />
3. รูปภาพ หรือภาพร่าง ของวัตถุต่าง ๆ ที่นำมาใช้ทุกชนิด<br />
<strong class="style7"><br />
<span style="color: black; font-size: x-small;">กิจกรรม</span></strong><br />
1. จัดตั้งฉาก อาจจะเอาออกไปจัดทำกลางแจ้งเพื่อให้แสงแดดส่องวัตถุทำให้เกิดเงาบนฉาก หรืออาจจะทำในห้องโดยใช้แสงไฟ ฉายไปที่วัตถุก็ได้<br />
2. ถือวัตถุไว้หลังฉากโดยทำเป็นมุมปกติ และถือวัตถุตามแนวตั้งให้เด็กที่นั่งข้าง หน้าฉากตอบว่าเป็นวัตถุอะไร และทำไมเขาคิดว่าเป็นวัตถุประเภทนั้น<br />
3. ให้เด็กจับคู่รูปภาพของวัตถุให้สอดคล้องกับเงาที่เขาได้สังเกตไว้ ครูควรจะปิดรูปภาพไว้ก่อน หลังจากดูเงาที่ฉากแล้วจึงเปิดรูปภาพให้เด็กดูและให้เขาเลือกจับคู่ มิฉะนั้นแล้วเด็กจะสนใจกับรูปภาพโดยไม่ได้ตั้งใจดูเงาที่ฉาก<br />
4. ถามเด็กว่าเขาใช้ประสาทส่วนใดในการสังเกต<br />
<strong><br />
<span class="style7"><span style="color: black; font-size: x-small;">ข้อเสนอแนะ</span></span></strong><br />
1. ควรให้เด็กได้เล่นกับเงาที่ฉาก และให้เด็กแต่ละคนได้เป็นผู้ทำกิจกรรมนี้โดยผลัดกันออกมาถือวัตถุไว้หลังฉาก<br />
2. วัสดุที่นำมาให้เด็กเล่นควรมีความหลากหลายเด็กจะได้ไม่เบื่อ<br />
3. เมื่อเด็กคุ้นเคยกับกิจกรรมที่ใช้วัตถุแล้ว อาจให้เด็กใช้มือแสดงเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ และให้เพื่อนทายว่าเป็นสัตว์ประเภทใด ซึ่งกิจกรรมนี้ครูจะต้องฝึกเด็กดูก่อน<br />
</div><div align="justify"><strong class="style9"><span style="color: black; font-size: x-small;">ทักษะการคำนวณ</span></strong><a href="http://www.blogger.com/" name="7"></a><br />
การคำนวณ หมายความถึงความสามารถในการนับจำนวนของวัตถุ การบวก ลบ คูณ หาร การหาค่าเฉลี่ยต่าง ๆ และการคำนวณที่ซับซ้อนเช่น การคำนวณหาปริมาณต่าง ๆ และรวมไปถึงการคำนวณโดยใช้สูตรตั้งแต่ง่าย ๆ ไปจนถึงขั้นซับซ้อนขึ้นตามลำดับ<br />
ทักษะการคำนวณที่ควรส่งเสริมให้แก่เด็กปฐมวัย ได้แก่ การนับจำนวนของวัตถุ การนำจำนวนตัวเลขมากำหนด หรือบอกลักษณะต่าง ๆ เช่น ความกว้าง ความยาว ความสูง พื้นที่ ปริมาตร น้ำหนัก <br />
คณิตศาสตร์เป็นเครื่องมือที่จำเป็นยิ่งสำหรับวิทยาศาสตร์ เพราะในการทดลองหรือค้นคว้าหาความรู้ต่าง ๆ นั้น ต้องใช้ตัวเลขในการคำนวณค่าต่าง ๆ ซึ่งเป็นผลมาจากการทดลอง ดังนั้น <br />
กิจกรรมวิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย จะต้องใช้กระบวนการทางคณิตศาสตร์ในเรื่องของตัวเลข จำนวนบวก จำนวนลบ เลขเต็มหน่วย เซตทางคณิตศาสตร์<br />
ตัวอย่างการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทักษะการคำนวณ<br />
- ครูจัดหาวัตถุสิ่งของมาให้เด็กได้นับจำนวน เช่น มีก้อนหิน 10 ก้อน เป็นต้น<br />
- ครูให้เด็กศึกษาการเจริญเติบโตของต้นไม้ โดยให้เด็กปลูกและดูแลต้นไม้เอง ตั้งแต่การเพาะเมล็ด และให้เด็กทำการวัดแต่ละสัปดาห์ต้นไม้สูงขึ้นเท่าไร แล้วบันทึกความสูงไว้เป็นจำนวนตัวเลข (ก่อนทำกิจกรรมนี้ครูควรแน่ใจใจว่า เด็กมีความรู้พื้นฐานเรื่องการวัด)</div><div align="justify"><span style="font-size: x-small;"><strong class="style8">บทสรุป</strong></span> จากที่กล่าวมาแล้วสรุปได้ว่า การกระตุ้นให้เด็กปฐมวัยได้พัฒนาทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์นั้น ควรจัดกิจกรรมวิทยาศาสตร์ให้เด็กได้ลงมือกระทำด้วยตนเอง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์เป็นกระบวนการขั้นพื้นฐาน หรือทักษะเบื้องต้นที่ควรส่งเสริมให้เด็กปฐมวัยได้รับการพัฒนา มี 7 กระบวนการ ดังนี้ คือ ทักษะการสังเกต ทักษะการจำแนกประเภท ทักษะการวัด ทักษะการสื่อความหมาย ทักษะการลงความเห็น ทักษะการหาความสัมพันธ์ระหว่างมิติกับเวลา และทักษะการคำนวณ</div>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-61194838223632262072011-01-11T04:00:00.000-08:002011-01-11T04:17:37.820-08:00The 3 Little Pigs<iframe frameborder="0" height="295" src="http://www.youtube.com/embed/G5hI9U19-m0?fs=1" width="480"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-54219788362225515092011-01-11T03:51:00.000-08:002011-01-11T04:17:51.782-08:00I Like the Flowers - by Beat Boppers Children's Music<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/t6PKcnTGVX4?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-73167771556490385782011-01-11T03:50:00.000-08:002011-01-11T04:18:11.357-08:00Violin Solo by Multi-Talented 4 Years Old Kid<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/t3bW9P5Z6sI?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-63186784011469442982011-01-07T21:31:00.000-08:002011-01-07T21:31:49.874-08:00ปัญหาและแนวทางแก้ไขพฤติกรรมเด็ก<span style="color: #004080;"><span style="font-family: Tahoma;"><span><strong>รวบรวมโดย</strong></span> : <span>สถาบันเด็ก มูลนิธิเด็ก</span></span></span> <table border="1" cellpadding="0" class="MsoNormalTable" style="width: 618px;"><tbody>
<tr><td style="background: #ffc6e2; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" width="49%"><span style="font-size: small;"><strong><span style="color: blue; font-family: Tahoma;">แนวทางแก้ไข</span></strong><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #ffc6e2; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" width="49%"><span style="font-size: small;"><strong><span style="color: blue; font-family: Tahoma;">ปัญหาและการแสดงออก</span></strong><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่มีความคงที่สม่ำเสมอ ไม่กลับคำพูดไปมาไม่แน่นอน ความสม่ำเสมอคงของพ่อแม่ จะช่วยให้ลูกแน่ใจในพฤติกรรมของพ่อแม่ และมั่นใจในการกระทำของตนเอง</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรเปิดโอกาสให้เด็กแสดงตความสามารถ หรือความคิดเห็นอยู่เสมอ และควรให้คำชมเชยหรือกำลังใจ เพื่อให้เด็กตั้งใจททำต่อไป</span><br />
-<span>พ่อแม่ไม่ควรคอยตำหนิหรือ ช่วยเหลือเด็กทำสิ่งต่างๆตลอดเวลา เพราะจะทำให้คิดว่าตนเองไม่มีความสามารถ หรือทำไม่ได้ การปล่อยให้เด็กรับผิดชอบหน้าที่ต่าง ๆ ตามความสามารถจะช่วยสร้างความมั่นใจให้เด็กได้</span><br />
-<span>เมื่อเด็กทำสิ่งใดผิดพลาด พพ่อแม่ควรแนะนำให้แก้ไขปรับปรุง หากเด็กทำได้ดียิ่งขึ้นพ่อแม่ควรให้คำขมเชยด้วย</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">1.<span>เด็กขาดความเชื่อมั่นในตนเอง</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กไม่กล้าแสดงออกหรือทำสิ่งต่าง ๆ นอกจากคำสั่งของพ่อแม่</span><br />
-<span>เด็กไม่กล้าตัดสินใจ กลัวจะตัดสินใจผิด หรือรู้สึกไม่แน่ใจ</span><br />
-<span>เด็กต้องพึ่งผู้ใหญ่หรือพึ่งเพื่อนในการตัดสินใจ หรือดำเนินชีวิตเสมอ</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่ควรเข้าใจลักษณะสำคัญของเด็กสมาธิสั้นและอดทนกับเด็ก เพราะเด็กเองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมตนเองจึงเป็นเช่นรั้น</span><br />
-<span>พ่อแม่ไม่ควรเพิ่มความกดดันให้กับเด็กโดยบังคับหรือลงโทษให้เด็กอยู่นิ่ง ๆ เพราะเด็กก็ทำไม่ได้ ควรพยายามจัดสภาพแวดล้อมให้เด็กได้อยู่ในที่เงียบ ๆ เพื่อส่งเสริมให้เด็กมีสมาธิดียิ่งขึ้น</span><br />
-<span>ควรมอบหมายให้เด็กทำงานที่ใช้เวลาช่วงสั้น ๆ เมื่อเด็กทำสำเร็จก็ควรให้คำชมเชยด้วย</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรพาเด็กไปพบจิตแพทยเพื่อช่วยเหลือบำบัดรักษาให้อาการเหล่านี้ทุเลาลง</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">2. <span>ปัญหาเด็กสมาธิสั้น</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กจะอยู่นิ่ง เคลื่อนไหวและซนมากตลอดเวลา มีความสนใจเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นช่วงสั้น ๆ</span> <br />
-<span>เด็กไม่ค่อยอดทน รอคอยอะไรนานๆ ไม่ค่อยได้</span><br />
-<span>ไม่มีความตั้งใจจะทำงานให้สำเร็จด้วยตนเอง</span><br />
-<span>มีปัญหาการเรียนเนื่องจากไม่สามารถอดทน ติดตามบทเรียนจนจบได้</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr style="height: 159pt;"><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; height: 159pt; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่ไม่ควรปล่อยให้ลูกมีพฤติกรรมเช่นนี้ ควรถามถึงเหตุผล อธิบายให้เด็กฟังว่าการกระทำเช่นนี้ เป็นสิ่งไม่ถูกต้อง และควรให้เด็กเอาไปคืนเจ้าของ</span><br />
-<span>หาทางออกให้เด็ก เช่น ถ้าพบว่าเด็กต้องการความสนใจ พ่อแม่ก็ควรใช้ความรักความเอาใจใส่เด็กมากขึ้น ถ้าเด็กต้องการแก้แค้นเพื่อนควรสอนให้เด็กพูดกับเพื่อนตรง ๆ เป็นต้น</span><br />
-<span>พ่อแม่ไม่ควรลงโทษเด็กอย่างรุนแรง เพราะอาจจะเป็นการผลักดันให้เด็กกระทำผิดซ้ำอีก</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; height: 159pt; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">3. <span>เด็กขโมยของเพื่อน</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กจะขโมยของของคนอื่นมาเป็นของตนเอง ของที่เด็กขโมยมักเป็นของที่อยากได้หรืออุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ ส่วนใหญ่ปัญหานี้เกิดขึ้นกับเด็กวัย </span>6-7 <span>ขวบ ทั้งนี้เด็กไม่ได้มีนิสัยขี้ขโมยแต่อาจมีเหตุผลหลายอย่าง เช่น เพื่อเรียกร้องความสนใจจากพ่อแม่ ต้องการแก้แค้นเพื่อน พิสูจจน์ว่าตนเองเป็นคนกล้าหาญ เป็นต้น</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่ควรคอยซักถามถึงคนที่อยู่รอบข้างเด็ก เช่น เพื่อนว่ามีใครบ้าง เล่นอะไรกับใคร เป็นเพื่อนที่ดีบ้างหรือไม่ ควรพูดคุยด้วยความเป็นกันเอง เด็กจะได้รู้สึกไว้วางใจและเล่าถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรสอนวิธีการหลีกเลี่ยงเด็กเกเร เช่น ไม่พูดคุยหรือเกี่ยวข้องด้วย และควรสนับสนุนให้คบเพื่อนที่ดี หรือเพื่อนที่ช่วยปกป้องเด็กได้</span><br />
-<span>เพิ่มความมั่นใจให้กับเด็ก โดยเปิดโอกาสให้เด็กแสดงความคิดเห็นเป็นของตนเอง รู้จักโต้แย้งอย่างมีเหตุผล รู้จักปฏิเสธ และให้กำลังใจเด็กเสมอ ๆ</span> <br />
-<span>เพิ่มความเข้มแข็งให้กับเด็กโดยสนับสนุนให้เล่นหรือสอนวิชาป้องกันตัว</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">4. <span>ปัญหาเด็กถูกรังแก</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กไม่รู้จักวิธีการป้องกันตัวเอง ปล่อยให้เพื่อน พี่หรือน้อง รังแกได้ง่าย ๆ ถูกรังแกแล้วก็ไม่ยอมบอกใคร บางครั้งถูกขุ่ไม่ให้บอกพ่อแม่หรือครู</span><br />
-<span>มีท่าทางอ่อนแอ ขี้กังวล กลัวเพื่อน ไม่ยอมให้เข้ากลุ่ม กลัวพี่ไม่พูดด้วย ต้องพึ่งพิงคนอื่นเสมอ</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่ควรพูดคุยกับเด็กถึงผลเสียที่เด็กจะได้รับจากการอ่านแต่หนังสือการ์ตูน หรือดูแต่โทรทัศน์ และตกลงกันถึงช่วงเวลาของการดูการ์ตูน หรือเล่นการ์ตูนให้ชัดเจนและลดน้อยลง โดยแบ่งเวลาไปทำการบ้านและช่วยเหลืองานบ้านด้วย</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรตามดูแลเด็กให้ทำการบ้านให้เรียบร้อย และช่วยเหลืองานบ้านตามที่ตกลงกันไว้อย่างสม่ำเสอม และไม่ควรยอดเมื่อเด็กต่อรอง เพื่อขออ่านการ์ตูนหริอเล่นเกมส์ ก่อน</span><br />
-<span>ถ้าเด็กทำตามที่ตกลงกันไว้ พ่อแม่ควรชมเชย หรือให้กำลังใจด้วย</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">5. <span>เด็กติดการ์ตูนหรือเกมส์</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กจะอ่านแต่หนังสือการ์ตูน หรือดูการ์ตูน</span><br />
<span>เล่นเกมส์ ไม่ยอมทำการบ้าน และช่วยเหลือ</span><br />
<span>งานบ้าน </span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>เมื่อพ่อแม่ได้ยินพูดจาด้วยคำหยาบคาย ไม่ว่าจะพูดกับเพื่อน หรือ เป็นคำอุทานก็ตามพ่อแม่ควรทักท้วง ตักเตือนและบอกถึงผลเสียของการพูดคำหยาบคาย เด็กอาจจะโต้แย้งว่าเพื่อน ๆ ก็พูดกัน พ่อแม่ก็ควรอธิบายให้เด็กฟังว่า เด็กไม่จำเป็นต้องเอาอย่างพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมของเพื่อน</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรเป็นตัวอย่างที่ดีของการใช้คำพูดในบ้าน</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">6. <span><span class="goog_qs-tidbit goog_qs-tidbit-0">เด็กชอบพูดคำหยาบ</span></span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"><span class="goog_qs-tidbit goog_qs-tidbit-0"> -</span><span><span class="goog_qs-tidbit goog_qs-tidbit-0">เด็กจะพูดคำหยาบเวลาที่ไม่พอใจหรือเล่นกับเพื่อนฝูง</span> </span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>เมื่อเด็กต้องการจะทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง พ่อแม่ต้องเปิดโอกาสให้เด็กได้ทำตามความสามารถของเด็ก และถ้าเด็กทำได้ดี พ่อแม่ควรแสดงความชื่นชม หรือให้คำชมเชย</span><br />
-<span>พ่อแม่ต้องพยายามกระตุ้นให้เด็กทำสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง เช่น รินน้ำกินเอง ทำการบ้านเองโดยพ่อแม่ไม่ต้องช่วยเหลือ ทั้งนี้ พ่อแม่ไม่ควรเข้มงวดหรือจู้จี้จุกจิกจนเกินไป</span><br />
-<span>พ่อแม่ต้องไม่ช่วยเด็กทุกอย่างทุกเรื่อง บางเรื่องอาจจะต้องปล่อยให้เด็กได้เรียนรู้ด้วยตนเอง โดยพ่อแม่ช่วยสอนหรือชี้แนะแนวทางให้</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรมอบหมายความรับผิดชอบให้เด็กทำตามความสามารถของเด็กแต่ละวัย</span><br />
-<span>พ่อแม่ต้องไม่บงการลูกทุกเรื่อง</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">7. <span>เด็กไม่ยอมช่วยเหลือตัวเอง</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กจะมีลักษณะขี้เกียจ ไม่ยอมทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง เช่น ต้องปลุกให้ลุกจากที่นอนทุกเช้าจัดกระเป๋า เตรียมชุดนักเรียนให้ ทั้ง ๆ ที่เด็กมีความสามารถจะทำเองได้ พ่อแม่ต้องคอยเตือนและคอยช่วยเหลือทุกอย่าง รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาต่างๆ ที่เด็กควรจะใช้ความสามารถของตนเองจัดการแก้ไข</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>ถ้าเป็นเด็กเล็ก ผู้ใหญ่ควรให้เด็กทำกิจกรรมอยู่ใกล้ๆ อย่าปล่อยให้เล่นกับเพื่อนตามลำพัง หรือไม่เช่นนั้น ผู้ใหญ่ ต้องมีมาตรการโดยบอกกับเด็กว่า ใครที่ลงมือทำร้ายอีกฝ่ายก่อนต้องถูกลงโทษ</span><br />
-<span>หากเด็กแสดงพฤติกรรมก้าวร้าว ผู้ใหญ่ต้องถามถึงสาเหตุฟังเด็กพูด และลองเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาอื่นๆ ที่ดีกว่า เช่น การพูดแสดงความไม่พอใจออกไปตรง ๆ</span><br />
-<span>ไม่ควรลงโทษเด็กอย่างรุนแรง เพราะไม่เกิดประโยชน์แต่กลับจะทำให้เด็กด้านไม้เรียวและเจ้าคิดเจ้าแค้น</span><br />
-<span>ในเด็กโต พ่อแม่ไม่ควรลงโทษ กระทำให้เจ็บช้ำน้ำใจ พ่อแม่ควรถามถึงสาเหตุ ชี้แจงถึงผลเสียของการใช้กำลังก้าวร้าว และชี้แนะวิธีที่เหมาะสม เช่น อดกลั้นนับ</span> 1-10 <span>บอกความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ให้อภัยเพราะเป็นเพื่อนกัน ซึ่งทุกคนก็ทำผิดพลาดกันได้</span><br />
-<span>ไม่ควรยั่วยุให้เด็กโกรธ</span><br />
-<span>หากเด็กโกรธ แสดงท่าทางก้าวร้าวมาก ในเด็กเล็กให้ผู้ใหญ่กอดเด็กให้แน่นเพื่อยุติพฤติกรรมก้าวร้าว ส่วนเด็กโตควรแยกเด็กให้อยู่ตามลำพังเพื่อให้เด็กสงบจิตใจ หลังจากนั้นจึงค่อยพูดคุยกันถึงสาเหตุต่างๆ </span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">8. <span>เด็กก้าวร้าว</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กชอบรักแก เล่นรุนแรงกับเพื่อน มักก่อเรื่องวุ่นวาย ชอบทะเลาะกับเพื่อนหรือพี่น้องวัยเดียวกันเสมอ ซึ่งส่วนใหญ่สาเหตุของพฤติกรรมก้าวร้าวนี้ เกิดจากการที่เด็กรับรู้และเรียนรู้จากสภาพแวดล้อม เช่น ความก้าวร้าวของผู้ใหญ่ใกล้ชิด หรือจากภาพยนตร์ เป็นต้น</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่ควรมีข้อตกลงกับลูกและทำตามข้อตกลงนั้น เช่น ทุกเช้าลูกต้องที่นอนให้เรียบร้อย ถ้าทำได้ตลอดอาทิตย์ แม่จะพาไปห้างสรรพสินค้า</span><br />
-<span>พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดีอย่างสม่ำเสมอ</span><br />
-<span>ให้รางวัลหรือชื่นชมเมื่อเด็กรักษาวินัย และลงโทษเมื่อเด็กทำผิดไม่ปฏิตามระเบียบวินัย</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">9. <span>เด็กไม่ยอมทำตามระเบียบวินัย</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กจะมีลักษณะ ดื้อ ไม่ยอมทำตามกฏระเบียบ ควบคุมตนเองให้ทำไตามกฏระเบียบไม่ได้</span><br />
-<span>ทำสิ่งต่างๆ ตามใจตนเอง</span><br />
-<span>ขาดความเป็นระเบียบเรียบร้อยผัดวันประกันพรุ่ง ไม่รับผิดชอบ</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>เป็นโอกาสให้เด็กได้ทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยตัวเอง</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรมีเงื่อนไขว่า สิ่งที่เด็กตัดสินใจเลือก เด็กก็ต้อง</span><br />
<span>มีหน้าที่รับผิดชอบด้วย เช่น เด็กอยากเรียนดนตรีชอบดนตรีก็ต้องตั้งใจเรียน และทำการบ้านให้เรียบร้อย</span><br />
-<span>พ่อแม่ต้องรับผิดชอบภาระหน้าที่ต่าง ๆ ให้เป็นตัวอย่างแก่ลูก</span><br />
-<span>พ่อแม่ต้องไม่จู้จี้ และตำหนิมากเกินไป และชื่นชมเมื่อเด็กรับผิดชอบหน้าที่ได้ดี</span><br />
-<span>พ่อแม่อาจสอนเด็กด้วยการเล่นนิทาน เน้นตัวอย่างของการสร้างค่านิยมให้เด็กมีความรับผิดชอบ</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">10. <span>เด็กขาดความรับผิดชอบ</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กจะขาดความรับผิดชอบในหน้าที่ของตนเอง และสิ่งที่ได้รับมิบหมาย เช่น ไม่ทำการบ้าน ไม่เก็บที่นอน อยากเลี้ยงสัตว์ แต่ไม่อยากเป็นภาระดูแลให้อาหาร เป็นต้น</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่ไม่ควรตั้งความสมหวังเรื่องการเรียนของเด็กสูงจนเกินไป ควรตั้งความหวังตามความเป็นจริง</span><br />
-<span>พ่อแม่ยอมรับและชื่นชมความสามารถของเด็กทที่มีอยู่และ พยายามสนับสนุนให้เด็กได้พัฒนาจุดเด่นของเขาให้มากที่สุด</span><br />
-<span>ไม่ยัดเยียดความเก่งให้ลูกทุกด้าน เด็กควรเรียนพิเศษเฉพาะวิชาที่สนใจ หรือเรียนตามเพื่อนำไม่ทัน</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรสร้างทัศนคติที่ถูกต้องต่อการเรียน เรียนเพื่อรู้ไม่ใช้เรียนเพื่อสอบ ดังนั้นเด็กควรได้รับการส่งเสริมความรู้อื่น ๆ นอกเหนือจากตำรา</span><br />
-<span>พ่อแม่ควรสร้างแรงจูงใจในการเรียนให้ลูกด้วย เช่น เรียนภาษาอังกฤษ จะได้พูดกับชาวต่างชาติได้</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">11. <span>ปัญหาการเรียนในเด็ก</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"> -<span>เด็กเบื่อการเรียนเนื่องจากถูกเคี่ยวเข็ญยัดเยียดเกินไป เด็กปฏิเสธการเรียนไม่ตั้งใจเรียน ไม่รับผิดชอบเรื่องการเรียน</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td></tr>
<tr><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">-<span>พ่อแม่ต้องเป็นตัวอย่างที่ดี</span><br />
-<span>พ่อแม่ไม่ควรตามใจลูกมากจนเกินไป ให้ลูกรู้คุณค่าของเงิน เช่น ถ้าอยากได้เงินพิเศษต้องทำงานแลก เป็นต้น</span><br />
-<span>ปลูกฝังค่านิยมที่ถูกต้องด้วยการที่พ่อแม่สอดแทรกแนวความคิด การเห็นคุณค่าของจิตใจมากกว่าวัตถุนิยม ให้ลูกฟังอยู่เสมอ</span><br />
-<span>ส่งเสริมความภาคภูมิใจในตัวเด็ก เช่น การมีครอบครัวอบอุ่น การเป็นคนมีน่ำใจ</span><br />
-<span>พ่อแม่ต้องมีเทคนิคการไม่ตามใจลุก โดยการปฏิเสธอย่างเข้มแข็ง แต่มีเหตุผล เช่น การแสดงความห่วงใย การเน้นความสนใจไปทำกิจกรรมอื่น การยืนยันความต้องการพ่อแม่ เป็นต้น</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span></td><td style="background: #bdffbd; border-bottom-color: #f4f4f4; border-left-color: #f4f4f4; border-right-color: #f4f4f4; border-top-color: #f4f4f4; padding-bottom: 0.75pt; padding-left: 0.75pt; padding-right: 0.75pt; padding-top: 0.75pt; width: 49.52%;" valign="top" width="49%"><span style="font-size: small;"><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;">12. <span>เด็กมีค่านิยมทางวัตถุนิยมสูง</span></span><span style="color: #004080; font-family: Tahoma;"></span></span><span style="color: #0000cc; font-family: Tahoma;"><span style="font-size: small;"> -<span>เด็กจะใช้เงินฟุ่มเฟือย จับจ่ายไปกับการกินและข้าวของเครื่องใช้ที่ไม่จำเป็น เช่น ซื้อของกินที่ไม่มีคุณค่า ของใช้ยี่ห้อแพง ๆ หรูๆ ดูเด่นกว่า</span><br />
<span>เพื่อนฝูง เป็นต้น</span><br />
-<span>เด็กจะเบื่อง่าย ไม่รักษาของไม่ถนุถนอม หายก็ซื้อใหม่</span><br />
-<span>ไม่มีความยั้งคิดและรั้งรอเรื่องการจ่ายเงิน</span></span></span></td></tr>
</tbody></table>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-81163955367827089502011-01-07T21:25:00.000-08:002011-01-07T21:32:38.981-08:00Karadi Tales - The Blue Jackal - Kids<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/-dh3Z34QL7Q?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-23935004683622941152011-01-07T21:21:00.000-08:002011-01-07T21:33:02.459-08:00pianist (5years old girl):Bach Giguev<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/bI_xx82oTO8?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-63782256517198982132011-01-07T21:17:00.001-08:002011-01-07T21:18:04.754-08:00Alphabubblies Jumping ABC Songv<iframe frameborder="0" height="295" src="http://www.youtube.com/embed/2RSBsUzDj5o?fs=1" width="480"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-20971381419668076392011-01-03T01:40:00.000-08:002011-01-03T01:41:08.039-08:003 Year Old Drummer<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/-SNytfkJD4U?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-73540962692996829252011-01-03T01:36:00.000-08:002011-01-03T01:37:34.798-08:00นกกระสากับหมาจิ้งจอก<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/wPbZhD8I7h0?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-62781822955113734832011-01-03T01:34:00.000-08:002011-01-03T01:35:23.023-08:00เพลงฮิบโปโปเตมัส<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/smK0817hQEw?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-9534704190592942132011-01-03T01:29:00.000-08:002011-01-03T01:29:34.561-08:00การกระตุ้นพัฒนาการ<table border="0" style="width: 550px;"><tbody>
<tr><td colspan="3"><div align="center"><br />
<div align="center"><span style="color: blue; font-size: medium;"><strong>Early Stimulation</strong></span></div></div></td></tr>
<tr><td rowspan="3" valign="bottom" width="100"><div align="right"><a href="http://www.happyhomeclinic.com/academy.html" target="_blank"><img alt="ศูนย์วิชาการ แฮปปี้โฮม" border="0" height="58" src="http://www.happyhomeclinic.com/image/hhacademy/hhaform/hhalogos.gif" width="50" /></a></div></td><td width="296"> </td><td width="140"> </td></tr>
<tr><td> </td><td><span style="font-size: x-small;"></span></td></tr>
<tr><td> </td><td><span style="font-size: x-small;"></span></td></tr>
<tr><td> </td><td> </td><td> </td></tr>
<tr><td colspan="3"><div align="left"><span style="font-size: x-small;">เด็กเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่ายิ่ง และเป็นอนาคตที่สำคัญของชาติ ในหลายประเทศล้วนมุ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งจะต้องเริ่มต้นจากเด็ก โดยเฉพาะในช่วงปฐมวัย คือ ตั้งแต่วัยแรกเกิด – 6 ปี จะต้องได้รับการเลี้ยงดูที่เหมาะสม ทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ จิตใจ สังคม และจิตวิญญาณ ด้วยการตอบสนองความต้องการ ขั้นพื้นฐาน และส่งเสริมพัฒนาการในแต่ละวัย ซึ่งจะทำให้เด็กๆ เหล่านี้ เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพสืบไป</span></div> <br />
<span style="font-size: small;"><strong>ความหมายของพัฒนาการ</strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">พัฒนาการ คือ กระบวนการการเปลี่ยนแปลงลักษณะและพฤติกรรมที่มีทิศทาง และรูปแบบที่แน่นอนจากช่วงระยะเวลาหนึ่งไปสู่อีระยะหนึ่ง </span><br />
<span style="font-size: x-small;">วุฒิภาวะ คือ ความพร้อมที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ ซึ่งเป็นการบรรลุถึงขั้นการเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ของบุคคลในระยะใดระยะหนึ่ง และพร้อมที่จะทำกิจกรรมอย่างนั้น </span><br />
<span style="font-size: x-small;">“พัฒนาการเป็นผลรวมของการกระทำร่วมกันระหว่างวุฒิภาวะและการเรียนรู้” </span><br />
<span style="font-size: x-small;">พัฒนาการ หมายถึง กระบวนการเปลี่ยนแปลงด้านวุฒิภาวะของระบบต่างๆ และตัวบุคคล ทำให้เพิ่มความสามารถของระบบหรือบุคคล ให้ทำหน้าที่ต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทำหน้าที่ที่สลับซับซ้อนยุ่งยากได้ ตลอดจนเพิ่มทักษะใหม่และความสามารถในการปรับตัวต่อภาวะใหม่ของบุคคลผู้นั้น ซึ่งการจะไปถึงจุดแห่งความพร้อมได้จะต้องผ่านกระบวนการเรียนรู้ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">ในการดูพัฒนาการเด็กต้องครอบคลุมถึงพัฒนาการต่างๆ ดังนี้ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">1) ด้านร่างกาย </span><br />
<span style="font-size: x-small;">2) ด้านอารมณ์และบุคลิกภาพ</span><br />
<span style="font-size: x-small;">3) ด้านสังคม </span><br />
<span style="font-size: x-small;">4) ด้านเชาวน์ปัญญา ภาษา และความคิด </span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><strong>การตรวจวัดพัฒนาการ </strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">ในการกำหนดบรรทัดฐานว่า เด็กมีการพัฒนาอะไรและอย่างไรในแต่ละช่วงวัยนั้น นำมาจากผลการศึกษาโดยใช้เกณฑ์จากคนหมู่มาก โดยมีแบบวัดที่ได้ผ่านการศึกษาวิจัยมากมาย แต่ที่ได้รับความนิยม คือ แบบทดสอบเดนเวอร์ เนื่องจากว่าไม่จำเป็นต้องใช้ความเชี่ยวชาญในการแปลผลมาก สามารถทำได้โดยบุคลากรทางการแพทย์และพ่อแม่ผู้ปกครอง แต่ถึงกระนั้นก็สามารถแปลผลพัฒนาการในทุกๆ ด้านได้ ครบถ้วน</span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><strong>สาเหตุของพัฒนาการล่าช้า</strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">เด็กที่มีพัฒนาการล่าช้ามีสาเหตุได้หลายอย่าง สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">1) ภาวะสมองพิการ (cerebral palsy) หลังขาดออกซิเจนขณะคลอด หรือตามหลังอุบัติเหตุ หรือตามหลังการติดเชื้อในสมอง </span><br />
<span style="font-size: x-small;">2) โรคลมชักบางชนิด </span><br />
<span style="font-size: x-small;">3) ความผิดปกติของโครโมโซม และโรคที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมบางอย่าง เช่น กลุ่มอาการดาวน์ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">4) การขาดฮอร์โมน เช่น ธัยรอยด์</span><br />
<span style="font-size: x-small;">5) ภาวะเจ็บป่วยเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และภาวะขาดอาหารในเด็ก </span><br />
<span style="font-size: x-small;">6) ภาวะการติดเชื้อขณะมารดาตั้งครรภ์ เช่น หัด เยอรมัน เอดส์ เริม </span><br />
<span style="font-size: x-small;">7) ภาวะขาดอาหารขณะมารดาตั้งครรภ์ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">8) ภาวะขาดอาหารในช่วงที่สมองมีการเจริญเติบโต </span><br />
<span style="font-size: x-small;">9) ขาดการดูแลเอาใจใส่จากผู้เลี้ยงดู ถูกทอดทิ้ง ถูกทำร้ายหรือกระทำทารุณ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">10) กลุ่มที่ไม่ทราบสาเหตุ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">สาเหตุของปัญหาพัฒนาการล่าช้าบางอย่างจำเป็นต้องรักษาที่สาเหตุโดยตรง แต่บางอย่างถึงแม้จะทราบว่าเกิดจากอะไร แต่ไม่มีการรักษาที่เฉพาะเจาะจง ในขณะเดียวกันบางอย่างที่ยังไม่ทราบสาเหตุ ก็สามารถช่วยเหลือให้ดีขึ้นได้มาก </span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><strong>การเลี้ยงดูเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้า</strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">การเลี้ยงดูเด็กที่มีพัฒนาการล่าช้าไม่แตกต่างจากการเลี้ยงดูเด็กปกติมากนัก จะแตกต่างกันเพียงแต่เรื่องของโรคที่เด็กเป็นบางโรค เช่น โรคหัวใจ จำเป็นต้องดูแลในเรื่องของ การรักษาพยาบาล หรือการพาไปพบแพทย์ผู้รักษาตามนัด ข้อแนะนำในการเลี้ยงดูเด็ก ที่มีพัฒนาการล่าช้า ก็จะเหมือนกับเด็กทั่วไป กล่าวคือ</span><br />
<span style="font-size: x-small;"><strong>การให้ความรักและตอบสนองความต้องการของเด็ก </strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">ในช่วงแรกของชีวิตเด็กควรได้รับการปกป้อง คุ้มครองดูแลเอาใจใส่ และการตอบสนองความต้องการขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต คือ ได้รับอาหารเพื่อให้เติบโต และได้รับความรักซึ่งเป็นอาหารทางใจที่จำทำให้เด็กได้เกิดความรู้สึกมั่นคง เชื่อมั่นต่อโลกภายนอก ต ลอดจนการปกป้องให้พันจากภัยอันตรายต่างๆที่อาจเกิดขึ้นกับเด็ก ทั้งนี้พ่อแม่ ควรสำนึกเสมอว่า เมื่อมีลูกก็จำเป็นต้องมีความรับผิดชอบใน บทบาทหน้าที่ของพ่อแม่ โดยควรจัดลำดับความสำคัญของงาน และจะต้องถือว่างานในฐานะพ่อแม่ เป็นงานที่หนักและมีความสำคัญมาก อยู่ในลำดับต้นๆ ที่จะต้องแบ่งเวลาให้ </span><br />
<span style="font-size: x-small;"><strong>การยอมรับความแตกต่างของเด็กแต่ละคน </strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">พ่อแม่ต้องยอมรับว่าลูกแต่ละคนไม่เหมือนกัน โดยมีความแตกต่างในพื้นอารมณ์ บุคลิกภาพ ความแข็งแรงของร่างกาย เชาวน์ปัญญา ลูกอาจจะเป็นเด็กหน้าตาไม่ดี ไม่ค่อยแข็งแรง ไม่คล่องแคล่วว่องไว หรือลูกอาจเป็นเด็กใจร้อน เจ้าอารมณ์ การยอมรับในตัวเด็กจะนำมาสู่การดูแลที่เหมาะสม ต้องเข้าใจว่าไม่มีสูตรสำเร็จของการเลี้ยงดูเด็ก แต่มีหลักการกว้างๆ ทั้งนี้ขึ้นกับวิธีการที่พ่อแม่จะนำไปปรับใช้กับเด็กแต่ละคนให้ได้ผล เนื่องจากเด็กแต่ละคนมีลักษณะเฉพาะตัวของเขานั่นเอง </span><br />
<span style="font-size: x-small;"><strong>หาความรู้เกี่ยวกับการเลี้ยงดูเด็กและพัฒนาการตามวัยที่ควรเป็น </strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">ความรู้ที่ถูกต้องเป็นพื้นฐานของการปฏิบัติ ดังนั้นพ่อแม่ควรพยายามหาความรู้ในการเลี้ยงดูโดยวิธีการต่างๆ เช่น การอ่านหนังสือที่กล่าวถึงวิธีการในการเตรียมตัว เป็น พ่อแม่ และการถามจากผู้รู้เพื่อขอคำแนะนำ ตัวอย่างเช่น วิธีการอุ้มเด็กอ่อน ความรู้ว่าเด็กในวัยต่างๆ ควรทำอะไรได้บ้าง เช่น ลูกอายุ 2 เดือน ควรจ้องหน้าแม่และยิ้มตอบได้ แต่ถ้าลูกของเรายังไม่สามารถทำได้ก็ควรไป ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เพื่อขอคำแนะนำ เป็นต้น ทั้งนี้ควรมีการตื่นตัวในเรื่องเหล่านี้ ไม่ควรปล่อยผ่านไปในสิ่งที่ยังข้องใจ </span><br />
<span style="font-size: x-small;"><strong>การอบรมสั่งสอนและการฝึกวินัยให้กับเด็ก </strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">การฝึกวินัยและการอบรมสั่งสอน มีความจำเป็นอย่างยิ่งควบคู่ไปกับการเลี้ยงดูทั่วๆไป แม้ว่าเด็กจะมีพัฒนาการล่าช้า ก็จำเป็นต้องมีการอบรม สั่งสอนเลี้ยงดูในเรื่องกฎระเบียบต่างๆ ตั้งแต่เล็ก เช่น ตอนเป็นทารก ก็ควรจะต้องรู้จักรอแม่ที่จะให้นม ไม่ใช่ว่าหิวก็จะได้กินทันที ต่อมาก็ต้องหัดให้กินนอนเป็นเวลา พอโตขึ้นก็ต้องรู้จักช่วยเหลือตนเอง เช่น การตักอาหารเข้าปาก การใส่เสื้อผ้า แต่งตัว ล้างมือที่เปรอะเปื้อน การบอกความต้องการ การอบรมสั่งสอนต้องยึดกฎเกณฑ์ที่สังคมยอมรับเป็นหลัก และถือหลักว่าเด็กมีอายุหรือวุฒิภาวะเหมาะสมในการฝึกหัดให้เด็กทำพฤติกรรมหนึ่งได้แล้ว โดยมีพื้นฐานอยู่ที่การฝึกหัดอย่างสม่ำเสมอให้เป็นนิสัย และให้แรงเสริมเมื่อทำพฤติกรรมที่เหมาะสม หรือลงโทษเมื่อทำพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม </span><br />
<br />
<span style="font-size: small;"><strong>หลักการในการกระตุ้นพัฒนาการเด็ก</strong></span><br />
<span style="font-size: x-small;">1) ควรมีการกระตุ้นพัฒนาการเด็กในทุกๆด้านที่มีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นด้านการเคลื่อนไหว การใช้มือหยิบจับ การใช้ภาษา และการช่วยเหลือตนเอง รวมถึงการ กระตุ้นปลายประสาทสัมผัสในการรับรู ้ การมองเห็น การได้ยิน การสัมผัส ทางกาย การรับรู้กลิ่น การรับรู้รส </span><br />
<span style="font-size: x-small;">2) การฝึกควรเลียนแบบบรรยากาศสิ่งแวดล้อมที่บ้าน แล้วนำสิ่งเหล่านั้นมาสอนเป็นทักษะต่างๆที่ให้เด็กเรียนรู้ เพื่อให้พ่อแม่ และตัวเด็กเองนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ </span><br />
<span style="font-size: x-small;">3) พยายามให้เด็กช่วยตัวเองให้มากที่สุด โดยในระยะแรกควรมีการช่วยเหลือก่อน ต่อไปควรเปิดโอกาสให้เด็กทำด้วยตนเอง เช่น ในเด็กเล็กควรจับเด็กให้อยู่ในท่าทางต่างๆ เปลี่ยนกันไปไม่ให้อยู่ในท่าเดียวซ้ำๆ เพื่อช่วยให้เด็กมีประสบการณ์การเรียนรู้ในท่าทางต่างๆเหล่านั้น ซึ่งเป็นผลให้เด็กมีการเรียนรู้ในการทรงตัวดีขึ้น </span><br />
<span style="font-size: x-small;">4) ควรมีการทำพฤติกรรมตัวอย่าง เพื่อให้เด็กเลียนแบบ และทำซ้ำๆกันหลายๆครั้ง เพื่อให้เกิดการเรียนรู้ </span><br />
<span style="font-size: x-small;"><span class="goog_qs-tidbit-0">5) ให้ความสำคัญกับการฝึกเด็ก ควรคิดเสมอว่า การสอนหรือการกระตุ้นพัฒนาการ สามารถทำได้โดยไม่เลือกเวลา หรือสถานที่ </span></span><br />
<span style="font-size: x-small;"><span class="goog_qs-tidbit-0">6) ให้แรงเสริม ให้กำลังใจ และคำชมเชย</span> ทั้งคำพูดและการกระทำ เมื่อเด็กสามารถทำพฤติกรรมที่สอนหรือฝึกหัดได้ เช่น การพูดชม หรือท่าทีพอใจกอดรัดเด็ก</span><br />
<span style="font-size: x-small;">7) การจัดสภาพสิ่งแวดล้อมทั่วไปในบ้าน เป็นสิ่งที่ควรทำเพื่อการกระตุ้นประสาทสัมผัส เช่น การติดภาพสีสดใส การให้เด็กมีโอกาสเล่นของเล่นที่เหมาะสมตามวัย</span><br />
<span style="font-size: x-small;"><strong>ความสำเร็จในการช่วยเหลือเด็กนั้น อยู่ที่ความร่วมมือกันทั้งจากผู้ปกครอง และบุคลากรทางการแพทย์หลายฝ่าย</strong></span><br />
</td></tr>
</tbody></table>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-66016669233674067572010-12-22T22:43:00.000-08:002010-12-22T22:43:40.999-08:00แนวการสอนคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัย<table class="contentpaneopen"><tbody>
<tr><td valign="top"><div style="text-align: justify;"> <img class="glri" height="181" src="http://t1.gstatic.com/images?q=tbn:mfbRgX8J65Td6M" width="200" /></div><div style="text-align: justify;"> การสอนคณิตศาสตร์ในระดับปฐมวัยนั้น มีความแตกต่างจากการสอนในระดับอื่นคือ สามารถทำได้ทุกเวลาเมื่อมีโอกาส สำหรับจุดมุ่งหมายในการจัดการเรียนรู้คณิตศาสตร์ของเด็กปฐมวัยนั้น เพื่อฝึกให้เด็กได้ใช้ความคิด ค้นคว้า แก้ปัญหา และเรียนรู้ด้วยตนเอง โดยจัดประสบการณ์การเรียนรู้ที่เหมาะสมแก่เด็ก โดยต้องคำนึงถึงการพัฒนาความสามารถในการคิดแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ของเด็กตามระดับพัฒนาการด้วย</div><div style="text-align: justify;"> หลักการสอนคณิตศาสตร์ การสอนคณิตศาสตร์หรือการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสมให้แก่เด็กปฐมวัยนั้น ควรมีลักษณะดังนี้<br />
1. จัดการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับชีวิตประจำวัน<br />
2. จัดประสบการณ์ที่ทำให้เด็กได้ค้นพบคำตอบด้วยตนเอง<br />
3. มีการวางแผนอย่างดีและมีจุดมุ่งหมาย<br />
4. คำนึกถึงการเรียนรู้และลำดับขั้นของการพัฒนาความคิดรวบยอดของเด็ก<br />
5. สังเกตพฤติกรรมในการเรียนรู้ของเด็ก<br />
6. ใช้ประสบการณ์เดิมของเด็ก ในการสอนประสบการณ์ใหม่ และสถานการณ์ใหม่ๆ<br />
7. รู้จักใช้สถานการณ์ในขณะนั้นให้เป็นประโยชน์<br />
8. ใช้วิธีการสอดแทรกกับชีวิตประจำวัน <br />
9. ให้เด็กมีส่วนร่วมหรือปฏิบัติจริงเกี่ยวกับตัวเลข<br />
10. ส่งเสริมให้เด็กเรียนรู้ทั้งที่โรงเรียนอย่างต่อเนื่อง<br />
11. แก้ไขปัญหาการเรียนรู้ของเด็กอย่างสม่ำเสมอ<br />
12. ควรสอนความคิดรวบยอดในและครั้ง<br />
13. แก้ไขปัญหาการการเรียนรู้ที่ได้จากการเล่นจากง่ายไปหายาก<br />
14. ครูควรสอนสัญลักษณ์ตัวเลข หรือเครื่องหมาย<br />
15. ต้องมีการเตรียมความพร้อมในการเรียนคณิตศาสตร์</div><div style="text-align: left;"><strong>ทฤษฎีที่เกี่ยวข้องกับการสอนคณิตศาสตร์</strong></div><div style="text-align: justify;"><strong> </strong>1. ทฤษฎีการเรียนรู้พหุปัญญา โดยการ์ดเนอร์ ได้กล่าวไว้ว่า บุคคลทุกคนมีความสามารถทุกด้าน แต่มีอยู่ในระดับที่ไม่เท่ากัน และมักจะมีความสามารถอย่างน้อยหนึ่งด้าน ที่เด่นกว่าด้านอื่นๆ ความสามารถในแต่ละด้านจะถูกควบคุมโดยสมองส่วนต่างๆ เมื่อใดที่สมองส่วนนั้นถูกทำลาย ความสามารถด้านนั้นก็จะลดลงไปด้วย และเมื่อความสามารถด้านใดได้รับการพัฒนาอย่างเต็มศักยภาพแล้ว จะทำให้เกิดแรงจูงใจในการพัฒนาความสามารถด้านอื่นๆให้พัฒนามากขึ้น</div><div style="text-align: justify;"> 2. ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ ความรู้ตามแนวคิดการสร้างองค์ความรู้ เกิดจากประสบการณ์ของเด็กในการลงมือกระทำกับวัตถุ ความรู้ทางคณิตศาสตร์ได้มาจากการจัดสิ่งแวดล้อมให้เด็กได้ทำงานเป็นกลุ่ม ทั้งกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ และมีโอกาสพบกับสถานการณ์ที่เป็นปัญหา มีการใช้คำถามที่กระตุ้นให้ใช้ความคิดไตร่ตรองถึงวิธีการแก้ปัญหา รวมทั้งลงมือแก้ปัญหาจากสื่อที่เป็นรูปธรรม ภายใต้บรรยากาศของการมีปฎิสัมพันธ์และความเท่าเทียมกัน</div><div style="text-align: justify;"> 3. ทฤษฎีการเรียนการสอนของบรูเนอร์ ตามแนวคิดของบรูเนอร์นี้ นำมาใช้ในการสร้างความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์หลายๆ รูปแบบ เช่น การใช้สื่อที่เป็นรูปธรรม การใช้ภาพ การใช้ภาษาเขียน การใช้ภาษาพูด และการใช้สถานการณ์จริง โดยการสอนตามทฤษฎีนี้เน้นให้เด็กได้พูดและเขียนมากขึ้น</div><div style="text-align: justify;"> รูปแบบการสอนคณิตศาสตร์ที่สามารถนำไปใช้กับเด็กปฐมวัยได้แก่ การสอนโดยเน้นความเข้าใจทางคณิตศาสตร์ การพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์และการดำเนินการทางคณิตศาสตร์ การสอนตามแนวคิดการสร้างองค์ความรู้ และการสอนแบบบูรณาการ เป็นต้น ซึ่งการสอนแต่ละรูปแบบนี้ให้เด็กเกิดความคิดรวบยอดทางคณิตศาสตร์เหมือนกัน แต่มีกระบวนการในการจัดการเรียนรู้แตกต่างกัน ส่วนเทคนิควิธีการสอนคณิตศาสตร์มีมากมายหลายวิธี ครูและผู้ที่เกี่ยวข้องกับการจัดประสบการณ์ต้องรู้จักใช้ตามความเหมาะสม เช่น การยกตัวอย่างและการสร้างโจทย์ปัญหา การใช้สื่อการสอนจากวัสดุต่างๆ การสร้างวัสดุประกอบการสอน กิจกรมนันทนาการ การใช้รูปเรขาคณิตศาสตร์รูปต่างๆ การต่อภาพ การใช้โจทย์แบบฝึกหัด การใช้สื่อการสอนให้สอดคล้องกับเนื้อหา การปฏิบัติจริงและการสอนซ่อมเสริม และกลวิธีที่ใช้ในการสอนคณิตศาสตร์ได้แก่ การนำเข้าสู่บทเรียน การใช้คำถาม การยกตัวอย่าง และการสรุปบทเรียน สื่อการสอนคณิตศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย </div><div style="text-align: justify;"><br />
</div><div style="text-align: left;"><strong>คุณค่าของสื่อการสอน</strong></div><div style="text-align: justify;"><strong> </strong>สื่อการสอนทั้งวัสดุและอุปกรณ์ต่างๆ จะเป็นสิ่งที่ชวนส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็ก ทำให้เด็กเข้าใจสิ่งที่เรียนมากขึ้น เด็กได้สัมผัสสื่อด้วยตัวเองได้มีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนและครู<br />
สื่อการสอนยังช่วยสนับสนุนพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน ทั้งด้านร่างกาย ด้านอารมณ์ ด้านสังคม และด้านสติปัญญาให้กับเด็ก ไม่ว่าจะเป็นสื่อประเภทวัสดุ อุปกรณ์ หรือการเล่น ล้วนทำให้เด็กได้พัฒนาทักษะกลไกของร่างกาย ได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ตามจินตนาการ ทำให้เด็กสร้างองค์ความรู้ผ่านกิจกรรมที่เด็กได้ลงมือทำนั้นได้คุณค่าหรือประโยชน์ของสื่อการสอนในการนำมาจัดการเรียนรู้ให้แก่เด็กปฐมวัย มีอยู่มากมาย แต่การที่จะทำให้สื่อการสอนเกิดประโยชน์สูงสุดหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับความรู้ความเข้าใจของผู้นำสื่อไปใช้</div><div style="text-align: justify;"><strong>คุณค่าของสื่อการสอนปฐมวัยมีดังนี้</strong></div><div style="text-align: left;">1. ช่วยให้คุณภาพการเรียนรู้ดีขึ้น เพราะตรงกับความเป็นจริง มีความหมายชัดเจน<br />
2. เด็กเรียนรู้ได้มากขึ้น<br />
3. เด็กเกิดความประทับใจ และไม่ลืมง่าย<br />
4. ช่วยให้เด็กสนใจและมีส่วนร่วมในการทำกิจกรรม<br />
5. ส่งเสริมการคิดและการแก้ปัญหา<br />
6. เด็กเรียนรู้ในสิ่งที่เรียนได้สะดวก<br />
7. ทำให้สิ่งที่ซับซ้อนง่ายขึ้น<br />
8. ทำนามธรรมให้เป็นรูปธรรม<br />
9. ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวเร็วให้ช้าลง<br />
10. ทำสิ่งที่เคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนแปลงช้าให้เร็วขึ้น<br />
11. ทำสิ่งที่ใหญ่มากให้ย่อขนาดลง<br />
12. ทำสิ่งที่เล็กมากให้ใหญ่ขึ้น<br />
13. นำอดีตมาใช้ศึกษาได้<br />
14. นำสิ่งที่อยู่ไกลหรือลี้ลับมาศึกษาได้</div><div style="text-align: left;"><br />
</div><div style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; text-align: left;"> <a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnyi3M1pdSxDDQCTViA7Bo8d9h5jeh5wt4d10koMJaQ4M7L1yz9XFOWWooRPYgenpRLTIRUdmsmraro4ysNDo8zyREb4s79O31pkfTbue2xlpemvB8CavXzHCPq24ep8dAp-vchINLcReG/s269/5288586_1.jpg" imageanchor="1" style="cssfloat: undefined;"><img border="0" height="200" id="imgb" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjnyi3M1pdSxDDQCTViA7Bo8d9h5jeh5wt4d10koMJaQ4M7L1yz9XFOWWooRPYgenpRLTIRUdmsmraro4ysNDo8zyREb4s79O31pkfTbue2xlpemvB8CavXzHCPq24ep8dAp-vchINLcReG/s269/5288586_1.jpg" width="173" /></a></div></td></tr>
</tbody></table>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-13781476268974322822010-12-22T22:37:00.000-08:002010-12-22T22:37:32.966-08:004-year-old singer on America's Got Talent<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/wfCqpzQSyuQ?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-22660160999900229742010-12-22T22:26:00.000-08:002010-12-22T22:26:22.709-08:00เพลง ก.เอ๋ย ก.ไก่<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/mgHMjNs2XEw?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-29687120780104046322010-12-22T22:24:00.000-08:002010-12-22T22:25:04.091-08:00พระอาทิตย์และพายุ<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/0DFvNNyAoPI?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-14731581641674493402010-12-18T18:48:00.000-08:002010-12-18T18:48:48.053-08:00เนื้อเพลงสำหรับเด็ก อังกฤษ-ไทยBaa Baa Black Sheep.......<br />
<br />
Baa Baa Black Sheep have you any wool?<br />
Yes,sir .Yes sir. Three bags full.<br />
One for the master and one for the dame,<br />
and one for the little boy who lives doen the lane<br />
<br />
แบ๊ะ แบ๊ะเจ้าแกะดำ มีขนฟูหรือไม่<br />
มีสิ มีสิครับ มีคั้งสามถุงเต็มๆ<br />
หนึ่งถึงให้เจ้านาย หนึ่งถุงสำหรับคุรผู้หญิง<br />
อีกหนึ่งถึงให้เด็กผู้ชายที่อยู่ในซอย<br />
-------------------------------------------------------<br />
Incy Wincy Spider.....<br />
<br />
Incy "Wincy Spider climbing up the spout<br />
Down came the rain and washed the spider out.<br />
Out came the sunshine and dried up all the rain,<br />
So Incy Wincy Spider climbed up the spout again.<br />
<br />
เจ้าแมงมุม ไต่ขึ้นไปตามรางน้ำ<br />
ฝนตกลงมา เจ้าแมงมุมไหลร่วงหล่นตามน้ำฝน<br />
พระอาทิตย์ส่องแสง น้ำฝนแห้งเหือดหาย<br />
เจ้าแมงมุมรีบไต่ขึ้นตามรางน้ำอีกครั้ง<br />
----------------------------------------------------------------<br />
Sing A Rainbow.....<br />
<br />
REd and yellow and indigo and green,<br />
purple and orange,and blue.<br />
I can sing a rainbow, sing an rainbow,<br />
sing a rainbow,too<br />
<br />
แดง หลือง คราม เขียว<br />
ม่วง ส้ม น้ำเงิน<br />
ฉันร้องเพลงสายรุ้ง ร้องเพลงสายรุ้ง เพลงสายรุ้ง<br />
---------------------------------------------------------------<br />
<br />
I'm a Little teapot...<br />
<br />
I'm a little teapot short and stout.<br />
Here's my handle, here's my spout<br />
When I see the teacups,hear me shout.<br />
Tip me up and pour me out.<br />
<br />
ฉันเป็นการน้ำชา ตัวสั้นบึกบึน<br />
นี่คือหูจับของฉัน นี่คืพวยกาของฉัน<br />
เมื่อฉันเจอถ้วยชา ฉันร้องตะโกนบอกไป<br />
หยิบฉันไป แล้วรินน้ำชาใส่สิ<br />
------------------------------------------------]<br />
Twinkle Twinkle Little Star....<br />
<br />
Twinkle,twinkle little star.<br />
How I wonder what you are?<br />
Up above the world so high,<br />
like a diamond in the sky<br />
Twinkle, twinkle little star<br />
How I wonder what you are?<br />
<br />
กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย<br />
ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน<br />
อยู่เหนือสูงขึ้นไป ราวกับเพชรบนท้องฟ้า<br />
กระพริบ ระยิบระยับ เจ้าดาวดวงน้อย<br />
ฉันสงสัย เจ้าคืออะไรกัน<br />
-------------------------------------------<br />
<br />
Two Clean Hands<br />
<br />
TWo clean hands and two fat thumbs<br />
eight little fingers ten little toes<br />
one round head, goes nod, nod, nodding<br />
two eyes peeping, one tiny nose.<br />
<br />
สองมือสะอาด สองนิ้วโป้งอันอ้วนกลม<br />
อีกแปดนิ้วมือน้อยๆ และสิบนิ้วเท้าเล็กๆ<br />
หนึ่งหัวกลมๆผงก ผงก ผงก<br />
สองตาแอบมอง และหนึ่งจมูกอันเล็กหรืออันจิ๋ว<br />
-----------------------------------------------------------<br />
If You're Happy And You Know It...<br />
<br />
If you're happy and you know it,clap your hands.<br />
If you're happy and you know it,clap your hands.<br />
If you're happy and you know it, and you really want to show it,<br />
If you're happy and you know it,clap your hands<br />
If you're happy and you know it stamp your feet.<br />
If you're happy and you know it,stamp your feet.<br />
If you're happy and you know it, and you really want to show it,<br />
If you're happy and you know it stamp your feet<br />
If you're happy and you know it nod your head<br />
If you're happy and you know it nod your head<br />
If you're happy and you know it, and you really want to show it,<br />
If you're happy and you know it nod your head<br />
<br />
ถ้าเธอมีความสุข ก็จงปรบมือ<br />
ถ้าเธอมีความสุข ก็จงปรบมือ<br />
ถ้าเธอมีความสุข และอยากแสดงออกมา<br />
ถ้าเธอมีความสุข ก็จงปรบมือ<br />
stamp yr feet (ย่ำเท้า)<br />
nod yr head (ส่ายหัว หรือผงก)<br />
--------------------------------------------------<br />
This is the way<br />
<br />
This is the way we wash our hands,<br />
wash our hands wash our hands,<br />
This is the way we wash our hands,<br />
on a cold and frosty morning.<br />
This is the way we clean our teeth,<br />
clean our teeth,clean our teeth,<br />
This is the way we clean our teeth<br />
on a cold and frosty morning.<br />
This is the way we wash our face,<br />
wash our face,wash our face,<br />
This is the way we wash our face,<br />
on a cold and frosty morning.<br />
<br />
นี่คือวิธีที่เราล้างมือ ล้างมือของเรา ล้างมือของเรา<br />
นี่คือวิธีที่เราล้างมือ ในเช้าวันที่หนาวเย็น<br />
<br />
นี่คือวิธีทำความสะอาดฟัน ทำความสะอาดฟันของเรา<br />
ทำความสะอาดฟันของเรา<br />
นี่คือวิธีทำความสะอาดฟันของเรา ในเช้าวันที่หนาวเย็น<br />
<br />
นี่คือวิธีที่เราล้างหน้า ล้างหน้าของเรา ล้างหน้าของเรา<br />
นี่คือวิธีที่เราล้างหน้า ในเช้าวันที่หนาวเย็นsuarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-76736071917070314322010-12-18T18:37:00.000-08:002010-12-18T18:38:44.349-08:00เพลงระบำชาวเกาะ<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/Qa2WwEYLCfU?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-45614166184374073492010-12-18T18:34:00.000-08:002010-12-18T18:35:44.833-08:00I see who, at the zoo?<iframe frameborder="0" height="295" src="http://www.youtube.com/embed/TfFhXwqfGJQ?fs=1" width="480"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-8114085494140772843.post-29402219814688375982010-12-18T18:31:00.000-08:002010-12-18T18:32:01.968-08:00show piano ( 5 years old gir )<iframe frameborder="0" height="344" src="http://www.youtube.com/embed/bI_xx82oTO8?fs=1" width="425"></iframe>suarpa khamyangjonghttp://www.blogger.com/profile/11119120283964010054noreply@blogger.com0